วันพุธ, 21 พฤษภาคม 2568

เกษตรผสมผสาน บนพื้นฐานเศรษฐกิจพอเพียง ทำเกษตรบนพื้นที่เล็กๆ มีรายได้ทั้งปี 

เกษตรผสมผสาน บนพื้นฐานเศรษฐกิจพอเพียง ทำเกษตรบนพื้นที่เล็กๆ มีรายได้ทั้งปี

หลายคนอาจมองว่าพื้นที่แปลงเล็กๆจะไม่สามารถทำเกษตรเพื่อสร้างรายได้ได้ อาจารย์ ประทีป มายิ้ม แห่งสวน พออยู่ พอกิน บ้านมายิ้ม ได้มาให้แง่คิดดีๆเกียวกับวิธีการทำเกษตรผสมผสานบนพื้นที่จำกัดให้เกิดรายได้และแหลงอาหารของครัวเรือน บนพื้นฐานของเศรษฐกิจพอเพียง ที่มั้นคงและยั่งยืน ตามสโลแกน ขยันผิดที่ ทำผิดวิธี 10 ปีก็ไม่มีทางรวย ขยันถูกที่ ทำถูกวิธี ปีเดียวก็รวยได้

เกษตรผสมผสาน คืออะไร

เกษตรผสมผสาน คือ รูปแบบการทำการเกษตรที่ผสมผสานกิจกรรมหลายๆ อย่างไว้ในพื้นที่เดียวกัน เช่น การปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ เลี้ยงปลา ทำปุ๋ยหมัก หรือเพาะเห็ด โดยไม่เน้นอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไป เพื่อให้สามารถพึ่งพาและเกื้อกูลกันได้ในระบบ เช่น ขี้วัวจากการเลี้ยงวัวเอาไปทำปุ๋ยใช้กับพืช พืชให้ร่มเงาแก่สัตว์ เลี้ยงปลาในร่องสวน เป็นต้น

จุดเด่นของเกษตรผสมผสาน

  • ลดความเสี่ยง จากการพึ่งพารายได้ทางเดียว หากพืชอย่างหนึ่งเสียหาย ยังมีอย่างอื่นรองรับ
  • ใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า เช่น น้ำ พื้นที่ แรงงาน
  • ลดต้นทุน เพราะใช้วัตถุดิบในฟาร์มเอง เช่น ปุ๋ยคอก อาหารสัตว์
  • มีรายได้ตลอดปี เพราะแต่ละกิจกรรมเก็บเกี่ยวไม่พร้อมกัน
  • พึ่งพาตนเองได้ มากขึ้น ไม่ต้องซื้อของจากภายนอกมากนัก

การทำเกษตรบนพื้นที่เล็กๆ บนพื้นฐานของเศรษฐกิจพอเพียง ที่มั่นคงและยั่งยืน

ในยุคที่ค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้น แต่รายได้กลับไม่แน่นอน การทำเกษตรกลายเป็นทางเลือกหนึ่งที่หลายคนหันกลับมาให้ความสนใจ แม้จะมีพื้นที่เพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำเกษตรได้ หากมีการวางแผนและจัดการอย่างเหมาะสม โดยยึดหลัก เศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวทาง เพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้กับชีวิตและครอบครัว

เศรษฐกิจพอเพียงคืออะไร?

เศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวคิดของ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่เน้นการใช้ชีวิตอย่างพอประมาณ มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกันที่ดี โดยมีพื้นฐานอยู่บนความรู้และคุณธรรม ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่โลภ ไม่ทำเกินตัว แต่พัฒนาอย่างต่อเนื่องและมั่นคงตามกำลังที่มี

การนำแนวคิดนี้มาใช้ในการทำเกษตร หมายถึง การทำเกษตรที่พอดี เลี้ยงตัวเองได้ก่อน แล้วค่อยขยายเป็นรายได้เสริม มีการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า และลดการพึ่งพาภายนอกให้น้อยที่สุด

หลักการวางแผนทำเกษตรในพื้นที่เล็กๆ

แม้จะมีพื้นที่ไม่มาก เช่น 1 งาน หรือ 1 ไร่ ก็สามารถจัดการพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ หากมีการวางแผนที่ดี โดยแบ่งพื้นที่ตามสัดส่วนที่เหมาะสม เช่น

1. แบ่งพื้นที่ใช้งานแบบผสมผสาน

การทำเกษตรผสมผสานในพื้นที่เล็กๆ คือการไม่ทำเกษตรแบบเน้นอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไป แต่แบ่งพื้นที่ให้มีหลายกิจกรรมเกื้อกูลกัน ทั้งพืช สัตว์ น้ำ และปุ๋ย เพื่อให้เกิดความหลากหลาย ลดความเสี่ยง และมีรายได้หมุนเวียนหลายทาง ดังนี้

  • ปลูกพืชผักสวนครัว เช่น พริก มะเขือ โหระพา ตะไคร้ กะเพรา ถั่วฝักยาว ฯลฯ ปลูกหมุนเวียนได้ตลอดปี กินเองก็ได้ ขายก็ง่าย ใช้พื้นที่ไม่มาก และใช้เวลาปลูกสั้นเพียง 30–45 วัน ก็สามารถเก็บผลผลิตได้
  • เลี้ยงสัตว์เล็ก เช่น ไก่พื้นเมือง ไก่ไข่ เป็ดไข่ หรือหมูหลุม ใช้เศษอาหารเหลือจากครัวเรือนมาเลี้ยง ช่วยลดขยะ และให้ผลผลิตเป็นไข่หรือเนื้อสัตว์ เลี้ยงในพื้นที่ไม่มาก เช่น ทำเล้าไก่ในมุมร่ม ปล่อยไก่หากินในสวนได้
  • เลี้ยงปลาในบ่อซีเมนต์ หรือถังน้ำหมุนเวียน เช่น ปลานิล ปลาดุก ปลาทับทิม เลี้ยงง่าย โตไว ใช้น้ำน้อยกว่าการขุดบ่อดิน เหมาะสำหรับคนมีพื้นที่จำกัด เช่นหลังบ้าน หรือใต้ต้นไม้ใหญ่
  • ปลูกผลไม้ที่ให้ผลเร็ว เช่น กล้วยน้ำว้า มะละกอ ฝรั่ง มะม่วงพันธุ์เตี้ย ใช้พื้นที่รอบขอบสวนหรือริมรั้วได้ บางชนิดให้ผลผลิตใน 6 เดือน–1 ปี ช่วยให้มีผลไม้กินเองและจำหน่ายเป็นรายได้เสริม
  • ทำปุ๋ยหมักใช้เอง จากเศษใบไม้ เศษผักในครัวเรือน หรือมูลสัตว์ที่เลี้ยงไว้ เช่น ปุ๋ยหมักแห้ง ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ ใช้เป็นปุ๋ยสำหรับพืชผักในสวน ลดต้นทุนการซื้อปุ๋ยเคมี และทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ในระยะยาว

หลักการสำคัญของการแบ่งพื้นที่คือ “ให้ทุกอย่างในสวนช่วยกันเลี้ยงชีวิตเรา” ไม่ใช่แค่หวังผลผลิตทางเดียว แต่ให้ทุกกิจกรรมเชื่อมโยงกันอย่างยั่งยืน

2. ใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า

น้ำเป็นหัวใจสำคัญของการเกษตร แต่พื้นที่เล็กและบางแห่งอาจขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง ดังนั้น การใช้น้ำให้คุ้มค่าจึงเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อให้พืชเติบโตดี โดยไม่เปลืองน้ำเกินไป แนวทางสำคัญคือ:

  • ขุดบ่อเล็กเก็บน้ำฝน เช่น บ่อซีเมนต์ บ่อพลาสติก หรือแทงก์น้ำขนาด 500–1,000 ลิตร สำหรับรองรับน้ำฝนจากหลังคาบ้านในฤดูฝน ใช้ในหน้าแล้งได้ยาวนาน
  • วางระบบน้ำหยด โดยใช้ถังเก็บน้ำเชื่อมกับท่อ PVC ขนาดเล็ก หรือสายยาง เจาะรูให้ไหลน้ำหยดลงรากต้นพืชโดยตรง ช่วยประหยัดน้ำกว่าการรดน้ำแบบสาด
  • ปลูกพืชใช้น้ำน้อยในหน้าแล้ง เช่น ถั่วต่างๆ ขิง ข่า ตะไคร้ ฟักทอง หรือพืชตระกูลถั่ว พืชเหล่านี้ทนแล้งได้ดี และยังบำรุงดินอีกด้วย

ควรเลือกพืชที่เหมาะกับฤดูกาล และพิจารณาน้ำเป็นปัจจัยร่วมทุกครั้งในการวางแผนปลูก

3. ใช้ปุ๋ยอินทรีย์แทนเคมี

การใช้ปุ๋ยเคมีต่อเนื่อง ทำให้ดินแข็ง เสื่อมสภาพ และมีสารตกค้างสะสมทั้งในพืชและดิน ในขณะที่ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยชีวภาพ เป็นทางเลือกที่ดีและปลอดภัยกว่า โดยทำเองได้ง่าย และใช้วัตถุดิบที่หาได้ในฟาร์มหรือในครัวเรือน เช่น:

  • ปุ๋ยหมักแห้ง จากใบไม้แห้ง ฟาง หญ้าแห้ง มูลสัตว์ หมักไว้ 1–2 เดือน ก็ใช้ได้ ช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุให้ดิน
  • น้ำหมักชีวภาพ เช่น น้ำหมักจุลินทรีย์จากเปลือกผลไม้ กล้วยสุก น้ำตาลทรายแดง และน้ำมูลสัตว์ หมักไว้ประมาณ 15–30 วัน นำมาผสมน้ำฉีดพ่นทางใบ หรือราดลงดินเป็นอาหารพืช
  • ปุ๋ยคอก จากมูลวัว มูลไก่ มูลหมู ตากแห้งก่อนนำไปใช้ ช่วยให้พืชโตไว ไม่เป็นอันตรายต่อดินหรือคนกิน

การใช้ปุ๋ยอินทรีย์อย่างต่อเนื่องจะทำให้ดินดีขึ้นทุกปี พืชแข็งแรง ต้านโรคเองได้ และทำให้เกษตรยั่งยืนในระยะยาว

การทำเกษตรบนพื้นที่เล็กๆ ด้วยแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง เป็นทางเลือกที่เรียบง่าย แต่ได้ผลจริงในระยะยาว หากเราวางแผนอย่างดีและมีใจรักในการทำเกษตร แม้ไม่มีที่ดินมาก ก็สามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน อีกทั้งยังมีความสุขกับชีวิตที่ไม่ต้องแข่งขันกับใคร แต่ได้ใช้ชีวิตอย่างรู้คุณค่าในทุกๆ วัน

ที่มา : Yotrube วินัย ไตรมาศ Ep: ทำเกษตรบนพื้นที่เล็กๆ ให้มีรายได้ตลอดทั้งปี #เกษตรอารมณ์ดี


บทความที่น่าสนใจ