สูตรต้มปลากดใส่ใบมะขามอ่อน แซ่บๆ อร่อยๆ

สูตรต้มปลากดใส่ใบมะขามอ่อน แซ่บๆ อร่อยๆ

สูตรต้มปลากดใส่ใบมะขามอ่อน

พอถึงช่วงหน้าฝนที่ไรคิดถึงปลาไข่ทุกที เด็กต่างจังหวัดเวลาที่ฝนตกเสร็จก็จะออกไปหาปลาตามท้องไร้ท้องนา ซึ่งจะมีปลาหลากหลายชนิดมาก แต่ที่เราจะนำมาเสนอในวันนี้คือ ปลากดไข่ นั่นเองครับ และเมนูยอดนิยมก็คือ ต้มปลากดใส่ใบมะขามอ่อน บอกได้เลยว่าอร่อยมากครับ ซึ่งจะมีขั้นตอนการทำและสาวนผสมอะไรบ้างนั้นเรามาดูไป พร้อมๆกันเลยครับ

ส่วนผสม

  • ปลากดสด ๆ
  • ใบมะขามอ่อน
  • ข่า
  • ตะไคร้
  • หอมแดง
  • พริก
  • ใบมะกูด
  • ต้นหอม
  • ผักชี
  • เกลือ
  • น้ำปลา

วิธีทำ

  • นำปลามาล้างทำความสะอาดควักไส้ เตรียมไว้
  • ต้มน้ำให้เดือดใส่ ข่า ตะไคร้ หอมแดง พริก ใบมะกูด ต้นหอม ผักชี ปรุงรสด้วย เกลือนิดหน่อย พอน้ำเดือด ก็ใส่ปลาที่เตรียมไว้ลงไปให้เดือดอีกครั้ง
  • ใส่ใบมะขามอ่อน อย่าพึ่งใส่เยอะ มันจะออกเปรี้ยวค่อยใส่ทีละนิด ชิมรสตามชอบ เติม น้ำปลา ชูรส ต้นหอม ผักชี ปิดไฟ

บทความที่น่าสนใจ

หมูหลุมดินชีวภาพ ทางรอด รายย่อย

หมูหลุมดินชีวภาพ ทางรอด รายย่อย

หมูหลุมดินชีวภาพ

หมูหลุมดินชีวภาพ เป็นการผลิตเนื้อหมูสำหรับคนบริโภคในท้องถิ่น เน้นเทคนิคด้วยการจัดการคอกไม่ให้มีน้ำเสีย มูลสัตว์สามารถกำจัดในคอก โดยการทำงานของจุลินทรีย์ท้องถิ่น ของเสียเหล่านั้นถูกนำกลับเป็นปัจจัยการผลิตในการปลูกพืช ทั้งที่เป็นพืชที่ปลูกเป็นรายได้และพืชที่เป็นอาหารสัตว์ เช่น ข้าว ผัก ผลไม้ เป็นการหมุนเวียนใช้พลังธรรมชาติด้วยเทคโนโลยีที่พึ่งพาตนเองได้

การเลี้ยงหมูหลุมดินชีวภาพ

สามารถลดต้นทุนอาหารผสมสำเร็จได้ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากอาหารหลักที่ให้หมูกินคือ ผักนานาชนิด ได้แก่หยวกกล้วย ผักเบี้ยผักขม ผักตบชวายอดกระดิน โดยนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆส่วนอาหารผสมสำเร็จ ให้เพียง 30เปอร์เซ็นต์ของอาหารที่เคยให้ เท่านั้น

การเตรียมคอก

ขนาดคอกกว้างประมาณ 2 X 6 เมตร สามารถเลี้ยงหมูได้ 9 ตัว

การเตรีอมวัสดุพื้นคอก

พื้นคอกปูด้วยแกลบผสมดินละเอียดทำให้อ่อนนุ่ม หมูอยู่สบายไม่เครียด และจากการราดด้วยน้ำหมักชีวภาพจุลินทรีย์จะช่วยย่อยสลายสิ่งปฏิกูล ทำให้ไม่มีกลิ่นเหม็น และช่วยรักษาสภาพความสมดุลได้

จุลินทรีย์ เป็นเครื่องมือสำคัญในการเลี้ยงหมูหลุมและเกษตรอินทรีย์ จุลินทรีย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ปัจจุบันความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยเฉพาะเทคโนโลยีชีวภาพและ นาโนเทคโนโลยีทำให้ทราบบทบาทของจุลินทรีย์และการนำมาใช้ประโยชน์ในการเกษตร สมัยใหม่ เพื่อผลิตอาหารสำหรับมนุษย์ที่ไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ซึ่งมีผลเสียต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม จุลินทรีย์มี 3 ประเภท คือ

  • จุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์
  • จุลินทรีย์ก่อโรค
  • จุลินทรีย์ที่เป็นกลาง ซึ่งมีหลากหลายชนิดมากและกระบวนการทำงานของจุลินทรีย์มีสิ่งที่มนุษย์ยังไม่สามารถเรียนรู้ได้หมด

หมูหลุมดินชีวภาพ

การเลี้ยงหมูหลุม ใช้ความรู้ในการจัดการคอกและการให้อาหารแก่หมูด้วยบทบาทของจุลินทรีย์ 2 ประการ คือ

  • บทบาทการย่อยสลาย สารประกอบอินทรีย์ ที่มีโครงสร้างซับซ้อนที่พืชและสัตว์ไม่สามารถย่อยสลายใช้ประโยชน์ได้ เช่น ซากพืช ซากสัตว์ ของเสีย สิ่งขับถ่าย แต่จะมีจุลินทรีย์บางชนิดที่มีในธรรมชาติสามารถย่อยให้เป็นองค์ประกอบที่ไม่ซับซ้อนทำให้พืชและสัตว์ใช้ประโยชน์ได้ และแร่ธาตุบางชนิดที่เป็นปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมเช่น อาร์เซนิค แคดเมี่ยม จะถูกย่อยสลายไม่เป็นพิษสะสมในพืช เป็นต้น
  • บทบาทการสังเคราะห์สารประกอบอินทรีย์ เช่น สารคล้ายปฎิชีวนะ เอนไซม์ กรดแลคติค ซึ่งเป็นผลผลิตจากการหมักชีวภาพ เช่นการใช้ Probiotics ผสม น้ำหรือผสมอาหารสัตว์ ทดแทนการใช้สารปฏิชีวนะเร่งการเจริญเติบโตในการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งต่างประเทศกำลังนิยมใช้เป็นปัจจัยการผลิตที่เป็นธรรมชาติ ประเทศไทยได้มีการนำเข้ามาใช้มากกว่า 60 ราย แต่ Probiotics ที่เป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านในประเทศไทย คือน้ำหมักชีวภาพที่มีสูตรหลากหลาย และนักวิชาการส่วนมากยังไม่ยอมรับนั่นเอง

การให้อาหารและน้ำ

น้ำสำหรับหมูกินต้องผสมน้ำหมักชีวภาพใส่ภาชนะและปิดฝา แล้วต่อท่อไปสู่ก็อกสำหรับให้น้ำหมู

การป้องกันโรค

หมูอาจมีอาการท้องเสีย หรือขี้เหลวได้ต้องรักษาโดยนำใบฝรั่งสด ใบฟ้าทะลายโจรสด และเถาบอระเพ็ด เอาให้หมูกินรวมทั้งต้องหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไร เช่น อาหารและน้ำอาจไม่สะอาดพอก็ต้องปรับปรุงแก้ไขใหม่


บทความที่น่าสนใจ

เปิดแอร์อย่างไรให้เย็นฉ่ำ ประหยัดค่าไฟ สบายกระเป๋า

เปิดแอร์อย่างไรให้เย็นฉ่ำ ประหยัดค่าไฟ สบายกระเป๋า

เปิดแอร์อย่างไรให้เย็นฉ่ำ ประหยัดค่าไฟ

หน้าร้อนนี้ อากาศร้อนอบอ้าว หลายคนคงเปิดแอร์คลายร้อนกันบ่อย ๆ แต่ระวังค่าไฟพุ่งสูงปรี๊ด! วันนี้มีวิธี เปิดแอร์อย่างไรให้เย็นฉ่ำ ประหยัดค่าไฟ สบายกระเป๋มาฝากกันค่ะ

1. ตั้งอุณหภูมิที่พอเหมาะ

  • หลายคนเข้าใจผิดว่า ยิ่งเปิดแอร์อุณหภูมิต่ำ ยิ่งเย็นเร็ว จริง ๆ แล้ว การเปิดแอร์ที่อุณหภูมิ 25-27 องศา ร่างกายจะรู้สึกเย็นสบาย แอร์ทำงานน้อยลง ประหยัดไฟมากกว่า
  • ลองปรับเพิ่มอุณหภูมิขึ้น 1-2 องศา แล้วสังเกตว่ายังรู้สึกเย็นสบายหรือไม่ ถ้าไหว แสดงว่าประหยัดไฟได้อีก
  • ช่วงกลางคืน อาจเปิดแอร์ 26-28 องศา ก็นอนหลับสบาย ประหยัดไฟด้วย

2. เปิดพัดลมช่วย

  • การเปิดพัดลมช่วยกระจายความเย็นทั่วห้อง ทำให้รู้สึกเย็นสบายขึ้น โดยไม่ต้องเปิดแอร์อุณหภูมิต่ำ
  • แนะนำให้เปิดพัดลมตั้งพื้น เป่าไปทางแอร์ ช่วยให้อากาศเย็นไหลเวียนทั่วห้อง

3. ปิดช่องว่าง ระบายความร้อน

  • ปิดประตู หน้าต่าง ม่าน กันแดดไม่ให้ความร้อนเข้าห้อง
  • เปิดช่องระบายอากาศ ช่วยให้อากาศร้อนระบายออก
  • ติดตั้งพัดลมดูดอากาศในห้องน้ำหรือห้องครัว ช่วยระบายความร้อนและกลิ่นอับ

4. ดูแลรักษาแอร์

  • ล้างแอร์อย่างสม่ำเสมอ ทุก 6 เดือน – 1 ปี ช่วยให้อากาศเย็นเร็ว แอร์ทำงานหนักน้อยลง ประหยัดไฟ
  • เปลี่ยนฟิลเตอร์แอร์ทุก 1-2 เดือน กรองฝุ่นละออง แบคทีเรีย ช่วยให้แอร์ทำงานสะอาด ประหยัดไฟ
  • ตรวจเช็คสภาพแอร์ regularly เติมน้ำยาแอร์ แก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ช่วยให้แอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. ใช้โหมดประหยัดไฟ

  • หลายรุ่นมีโหมดประหยัดไฟ ช่วยปรับการทำงานของแอร์ให้ประหยัดไฟโดยอัตโนมัติ
  • ตั้งเวลาเปิดปิดแอร์ เช่น ตั้งเวลาปิดแอร์ก่อนนอน 1 ชั่วโมง หรือเปิดแอร์ล่วงหน้าก่อนกลับบ้าน 30 นาที

6. เลือกแอร์ที่มีประสิทธิภาพ

  • เลือกแอร์ที่มีค่า EER หรือ SEER สูง แสดงถึงประสิทธิภาพการประหยัดไฟ
  • เลือกขนาดแอร์ที่เหมาะสมกับขนาดห้อง ไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป

7. เปลี่ยนมาใช้พัดลมแทนแอร์

  • ช่วงกลางวัน อากาศไม่ร้อนจัด ลองเปิดพัดลมแทนแอร์ ประหยัดไฟได้มาก
  • เลือกพัดลมที่มีใบพัดขนาดใหญ่ ปรับแรงลมได้หลายระดับ

ลองนำวิธีเหล่านี้ไปใช้กันดูนะคะ รับรองว่าเย็นฉ่ำ สบายกระเป๋าแน่นอน

แอร์ทางเลือกประหยัดค่าไฟ

    แอร์โซล่าเซลล์ หรือที่เรียกว่าแอร์พลังงานแสงอาทิตย์ เป็นเครื่องปรับอากาศที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการทำงาน โดยใช้แผงโซลาร์เซลล์แปลงพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อขับเคลื่อนคอมเพรสเซอร์ของเครื่องปรับอากาศ แต่จะแบ่งประเภทของระบบออกไปตามการใช้งานของเราอีกที

ประเภทของแอร์โซล่าเซลล์

แอร์ระบบโซล่าเซลล์แบบไฮบริด เป็นการผสมผสานระหว่างเครื่องปรับอากาศแบบทั่วไปกับระบบพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องปรับอากาศประเภทนี้สามารถทำงานได้ทั้งไฟฟ้าจากการไฟฟ้าและพลังงานแสงอาทิตย์

แอร์ระบบโซล่าเซลล์แบบออฟกริด เป็นเครื่องปรับอากาศที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพียงอย่างเดียว เครื่องปรับอากาศประเภทนี้เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้าเข้าถึง

ข้อดีของแอร์ระบบโซล่าเซลล์

  • ประหยัดค่าไฟได้มากถึง 80% และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ช่วยลดโลกร้อน
  • ใช้งานง่าย ดูแลรักษาง่าย และมีอายุการใช้งานยาวนาน

ข้อเสียของแอร์ระบบโซล่าเซลล์

ราคาค่อนข้างสูง และมีประสิทธิภาพสูงสุดในช่วงเวลากลางวันที่มีแสงแดดจ้า
ต้องการพื้นที่สำหรับติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ อาจไม่เหมาะกับพื้นที่ที่มีแสงแดดน้อย

ที่มา : sarakaset.com


บทความที่น่าสนใจ

เผยเคล็ดลับ ทำเงาะนอกฤดู เพิ่มมูลค่า กำไรงามๆ

เผยเคล็ดลับ ทำเงาะนอกฤดู เพิ่มมูลค่า กำไรงามๆ

ทำเงาะนอกฤดู

สวัสดีครับบทความนี้เราจะมา เผยเคล็ดลับ ทำเงาะนอกฤดู เพื่อเพิ่มมูลค่ากันครับ เงาะ เป็นไม้ผลเขตร้อนที่มีพื้นที่ปลูกในแหล่งเดียวกับทุเรียน มังคุดและลองกองเนื่องจากผลผลิต จะออกสู่ตลาดในช่วงเดียวกัน จึงส่งผลให้ราคาค่อนข้างตกต่ำ ดังนั้นการส่งเสริมผลิตเงาะนอกฤดูจึงเป็นแนวทางหนึ่ง ที่จะช่วยลดปริมาณผลผลิตในฤดูให้มีผลผลิตออกสู่ตลาดช่วงที่ไม่ทับซ้อนกัน ซึ่งจะช่วยให้ราคาเงาะมีราคาสูงขึ้น

วิธีการและขั้นตอน

การเตรียมความพร้อมของต้นเงาะ มีขั้นตอนดังนี้

ทำเงาะนอกฤดู

การเลี้ยงใบชุดที่ 1

  • ตัดแต่งกิ่ง ทันทีหลังจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อให้เงาะแตกใบอ่อนได้เร็วขึ้น และมีเวลาพอที่จะทำให้เงาะแตกใบอ่อน 2 ครั้ง โดยตัดแต่งกิ่งแห้ง กิ่งฉีกหัก กิ่งกระโดง กิ่งแซม กิ่งซ้อนทับ กิ่งที่ถูกโรคและแมลงทำลาย รวมทั้งการตัดแต่งเพื่อควบคุมทรงพุ่มไม่ให้ทรงพุ่มเบียดชิดกัน
  • ใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอก ประมาณ 20-30กิโลกรัม/ต้น 2-3 ครั้งแล้วแต่ความเหมาะสม
  • ใส่ปุ๋ยเคมี ใส่สูตร เช่น 16-16-16 ปริมาณ กิโลกรัม เท่ากับ 1/2 ของอายุต้น โดยแบ่งใส่ 2 ครั้ง
  • การให้น้ำ ควรให้น้ำทันทีเพื่อให้ปุยละลาย
  • ฉีดพ่นสารสกัดจากสาหร่ายทะเล อัตรา 200 มิลลิลิตร/น้ำ 200 ลิตรหรือใช้ไทโอยูเรีย 0.5% อัตรา 100 กรัม/น้ำ 20 ลิตร เพื่อเร่งให้แตกใบอ่อน
  • หลังฉีดพ่นสารสกัดสาหร่ายทะเลหรือไทโอยูเรียประมาณ 7-10 วันเงาะจะแสดงอาการแตกยอดอ่อนใหม่

การเลี้ยงใบชุดที่ 2

หลังจากเลี้ยงใบชุดที่ 1 ให้เป็นใบแก่จะใช้เวลาประมาณ 60 วัน

  • ตัดแต่งกิ่ง เช่น กิ่งแซม กิ่งกระจุก กิ่งน้ำค้าง กิ่งโรคและแมลงทำลาย กิ่งแห้ง
  • ให้ปุ๋ยคอกหรือปุ้ยอินทรีย์เหมือนกับครั้งแรก
  • ปุ๋ยเคมีใช้สูตร 16-16-16 ปริมาณที่ใช้เท่าครั้งแรกแบ่งใส่ 2 ครั้ง ให้น้ำสม่ำเสมอ

การเตรียมความพร้อม เพื่อการออกดอก

ช่วงปลายฤดูฝนหลังจากที่เงาะแตกใบอ่อนชุดที่ 2 เข้าสู่ระยะใบเพสลาดให้เตรียมการสำหรับการออกดอกที่ดีมีคุณภาพ ดังนี้

  • ใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 8-24-24, 9-24-24, 12-24-12 ปริมาณที่ให้เป็นกิโลกรัมเท่ากับ 1/2 ของอายุต้น อายุ 4 ปี ให้ใส่ปุ๋ยปริมาณ 2 กิโลกรัม/ต้น
  • งดการให้น้ำ ประมาณ 20 วันแล้ว ใบเงาะเริ่มแสดงอาการเหี่ยว ใบสีเหลืองลู่ลงปลายยอดตั้งขึ้น แห้งแข็ง ใบล่างของกิ่งร่วงประมาณ 2 ชั้นใบ ควรให้น้ำทันที

ทำเงาะนอกฤดู

การดูแลเงาะระยะแทงช่อถึงผลแก่

ระยะนี้ให้ควรให้น้ำเงาะอย่างสม่ำเสมอ ช่อดอกเงาะเริ่มยาวขึ้น ดังนี้

  • ระยะช่อสะเดา ดอกเงาะมีลักษณะเป็นช่อดอกก้านช่อใหญ่ เรียงรายกันจนถึงปลายสุด ดอกมีขนาดเล็ก ทรงกลมคล้ายหัวเข็มหมุด มองดูคล้ายเหมือนดอกสะเดาระยะชอสะเดา
  • ระยะดอกบาน เป็นช่วงมีความสำคัญของการติดผลซึ่งต้องอาศัยแมลงมาช่วยผสมเกสร เมื่อช่อดอกเงาะบานได้ 20% ของช่อ ให้เร่งฉีดพ่นสารแพลนโนฟิกส์ อัตรา 1 มิลลิลิตร/น้ำ 1 ลิตร (1,000 ppm) ของทรงพุ่ม จะช่วยให้ต้นเงาะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นดอกตัวผู้ ทำให้การผสมเกสรติดเป็นผลสมบูรณ์ หากไม่ทำการชักนำดอกเพศผู้ เมื่อเกิดการผสมก็จะทำให้ต้นเงาะมีการผสมไม่สมบูรณ์ หรือที่นิยมเรียกว่า เงาะขี้คอก ซึ่งเป็นเงาะที่มีขนาดเล็ก อาจมีเนื้อแต่ไม่มีเมล็ด หรืออาจเป็นผลไม่มีเนื้อเลยก็ได้
  • ระยะดอกโรย หลังจากดอกเงาะโรยประมาณ 7-10 วัน ซึ่งเป็นระยะที่ดอกเงาะมีการผสมเกสรสมบูรณ์แล้ว เพื่อให้ผลเงาะขนาดเล็กเพิ่มขนาดเร็วขึ้น โดยการฉีดพ่นสารสกัดจากสาหร่ายทะเล อัตรา 200 มิลลิสิตร ผสมยูเรีย 46-0-0 อัตรา500 กรัม/น้ำ 200 ลิตร ในระยะนี้ยังคงต้องหมั่นระวังศัตรูเงาะเพลี้ยไฟ
  • ระยะผลขยาย ระยะนี้ผลเงาะเริ่มมีขนาดโต มีขนยาวและมีการเจริญเติบโตค่อนข้างเร็ว ให้หมั่นสังเกตปริมาณความดกและความสมบูรณ์ของต้นเงาะ เงาะต้นใดติดผลมาก และต้นไม่สมบูรณ์ ให้ทำการให้ปุยเพิ่มทางดินสูตร 16-16-16 อัตรา(ปริมาณเป็นกิโลกรัม = 1/2 ของอายุต้น) หรืออาจให้ปุ๋ยเกล็ดพ่นทางใบ ในช่วงสายซึ่งเป็นช่วงปากใบเปิดก็ได้ ปุ้ยทางใบเหมาะสำหรับแปลงปลูกเงาะที่มีน้ำน้อย การฉีดพ่นทุก 10 วัน ประมาณ 2-3 ครั้ง ระยะนี้ยังคงหมั่นเฝ้าระวังหนอนเจาะขั้ว หากพบให้กำจัดโดยใช้สารเคมี เซฟวิน 85% WP 20-30 กรัม/น้ำ 20 ลิตร และราแป้งหากพบต้องกำจัดโดยใช้กำมะถันผง 300-500 กรัม/น้ำ 200 ลิตร
  • ระยะผลพัฒนา ช่วงนี้เงาะมีเนื้อเกือบสมบูรณ์แล้วผลโต ผลสีเขียวใส ให้ทำการใส่ปุยพัฒนาคุณภาพสูตรได้แก่ 13-13-21 แมงกานีส ในเกษตรกรบางรายใช้ 8-24-24 หรือ 9-24-24 ซึ่งจะทำให้ฟอสฟอรัสตกค้างในดินค่อนข้างมาก การใส่ปุ๋ยตัวท้ายสูงนี้ทำให้เงาะเนื้อแน่นกรอบหวานดีกว่าเงาะ ที่ไม่ใส่ปุ๋ยเลย ซึ่งเนื้อนิ่มและรสชาติจืด

แมลงศัตรูเงาะที่สำคัญ ได้แก่

  • หนอนคืบ เป็นตัวอ่อนของหนอนผีเสื้อการเข้าทำลายหนอนจะเข้ากัดกินยอดอ่อน ใบอ่อน ทำให้ต้นเงาะขาดใบที่ทำหน้าที่สังเคราะห์แสง หากพบระบาดให้ใช้สารเคมี กำจัดแมลง ได้แก่ คาร์บาริล (เซฟวิน 85% WP) อัตรา 60 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
  • เพลี้ยไฟ มักจะเข้ามาดูดกินน้ำเลี้ยงจากยอดอ่อนและใบอ่อนขนาดเล็ก ทำให้ยอดอ่อนและขอบใบแห้ง หากเป็นมากทำให้ใบอ่อนร่วงเหลือแต่ยอด ควรฉีดพ่นด้วยแลมบ์ดาไซฮาโลทรินอัตรา 10 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร คาร์โบซัลแฟน อัตรา 50 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร หรือ อิมิดาโคลพริล อัตรา 10 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร
  • แมลงค่อมทอง เป็นด้วงขนาดเล็ก ลำตัวเป็นรูกระสวย ตัวแก่มักจะกัดกินใบอ่อนจนขาดเกือบทั้งใบใช้คาร์บาริล (เซฟวิน 85% WP)อัตรา 30 กรัม/น้ำ 20 ลิตรฉีดพ่น
  • หนอนเจาะกิ่ง มักจะระบาดในช่วงฤดูฝน โดยตัวอ่อนของหนอนจะกัดกินเข้าเนื้อไม้ ลึกเข้าไปในบริเวณไส้กิ่งเป็นแนวยาวทำให้ยอดของกิ่งที่ถูกหนอนทำลายเหี่ยวแห้ง หากพบขี้หนอนใหม่และกึ่งยังไม่เหี่ยวแห้ง ให้กำจัดโดยใช้สารเคมีป้องกันกำจัดแมลง เช่น เมโทมิล 40% SP ผสมน้ำเข้มข้น แล้วใช้สลิงสูบน้ำยาเคมีที่ผสมน้ำเข้มข้น ฉีดเข้าทางปากแผลที่ขี้หนอนหล่นออกมาแล้วอุดด้วยดินน้ำมัน หรือดินเหนียวทำให้ตัวหนอนที่อยู่ภายในกิ่งตาย

โรคที่สำคัญ

  • โรคราแป้ง เกิดจากเชื้อรา สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการระบาดของราแป้ง ในช่วงเงาะแทงช่อดอกติดผลอ่อนเป็นช่วงที่อากาศเย็น มีความชื้นสูง โดยเชื้อราขึ้นปกคลุมช่อและผลอ่อน เป็นฝุ่นสีขาวคล้ายแป้ง ทำให้ผลอ่อนร่วงหรือแคระแกร็น ไม่สามารถพัฒนาต่อไปเป็นเงาะที่สมบูรณ์ได้และเชื้อราจะเกาะตามซอกขน ปลายขน ทำให้ปลายขนกุดจนเกรียน ผิวกร้าน และเชื้อนี้สามารถทำลายเงาะในระยะใบอ่อนหรือต้นกล้าได้อีกด้วยในช่วงเงาะระยะเงาะติดผลขนาดเล็ก ควรสังเกตการระบาด ช่วงอากาศขึ้น เย็น หากพบให้ตัดช่อเงาะที่ถูกทำลาย หรือกิ่งที่ถูกทำลายไปเผาทิ้งและพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรา ได้แก่ กำมะถันผง อัตรา 40 กรัม/น้ำ 20 ลิตร พ่นเช้า เย็น หากไม่ได้ผลให้พ่นด้วยสารเคมี เบโนมิล อัตรา 10 กรัม/น้ำ 20 ลิตร หรือ ไดโนแคป อัตรา 15-20 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
  • โรคราดำ เกิดจากเชื้อราจะเข้าทำลายทั้งใบ กิ่งช่อดอก และผล ถ้าทำลายบนผล ทำให้ผลเงาะมีเขม่าดำปกคลุมทั่วทั้งผล ในช่วงอากาศมีความชื้นสูง พ่นสารเคมี ราดำคาร์บาริล (เซฟวิน 85% WP) อัตรา 60 กรัม/น้ำ 20 ลิตร ในช่วงเงาะกำลังแตกใบอ่อนและช่วงแทงช่อดอก เพื่อป้องกันแมลงปากดูด
  • โรคผลเน่า เกิดจากเชื้อรา ระบาดในช่วงฝนตกชุกโดยเข้าทำลายบนผลเป็นรอยช้ำจุดเป็นสีน้ำตาล และเน่าลุกลามขยายใหญ่ขึ้น แผลค่อยลุกลามและเปลี่ยนสีเป็นสีดำพ่นด้วยสารเคมี เมทาแลคซีล 25% WP อัตรา 20 กรัม/น้ำ 20 ลิตร แคปแทน 50% WP อัตรา ผลเน่า 40-50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร และควรหยุดพ่นก่อนการเก็บเกี่ยว 15-20 วัน

การเก็บเกี่ยว

  • เงาะจากดอกบาน ถึงผลแก่เก็บเกี่ยวได้ อายุประมาณ 120 วัน ผลจะเริ่มเป็นสีแดง ขนสีเขียว
  • เงาะสีแดงเข้มจะมีอายุวางตลาดค่อนข้างสั้น ส่วน 2 สีเหลืองอมแดงจะมีอายุวางตลาดได้นานขึ้น ดังนั้น การเลือกเก็บเงาะต้องพิจารณาตลาดที่จะขนส่งเงาะไปจำหน่ายมีระยะทางและใช้เวลาสั้นหรือยาว ถ้าเงาะแดงก็เหมาะสม

ทำเงาะนอกฤดู

สำหรับการขนส่งในระยะใกล้ๆ แต่ถ้าเงาะ 2 สี ก็เหมาะสมสำหรับการขนส่งในระยะทางไกลๆ จะทำให้เงาะมีสีสวยสดและคุณภาพเนื้อดี

ที่มา : กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์


บทความที่น่าสนใจ

แพะท้องอืด เกิดจากอะไร รักษาง่ายๆไม่กี่ขั้นตอน

แพะท้องอืด เกิดจากอะไร รักษาง่ายๆไม่กี่ขั้นตอน

แพะท้องอืด

แพะท้องอืด เป็นอีกอาการหนึ่งของแพะที่ผู้เลี้ยงแพะมักพบเห็นกันอยู่บ่อยครั้ง สาเหตุอาจเนื่องด้วย แพะอาจไปกินหญ้าที่มีลักษณะที่อ่อนเกินไป หรือการกินอาหารที่ไม่คุ้นเคยหรือไม่เคยกินก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุเช่นเดียวกันที่อาจก่อให้เกิดอาการแพะท้องเสียได้

อาการแพะท้องอืด

อาการขั้นต้น ไม่เคี้ยวเอื้อง ไม่ถ่าย จะเดินหรือยืนจะมีการเหยียดตัว นอนและลุกบ่อยๆถี่ กระวนกระวาย คล้ายสัตว์จะคลอดลูก อาจมีอาการเบ่ง และท้องตรงสวาบด้านช้ายโป้งคล้ายลูกโป้ง กคหรือเกาะแล้วจะแน่นแข็งๆ

อาการรุนแรง จะนอนเหยียดขา ตาเหลือก หายใจไม่ออก ขาดอากาศหายใจ และอาจเสียชีวิต

สาเหตุ

      เกิดจากการสะสมแก๊สในทางเดินอาหารของสัตวํและสัตว์ไม่สามารถขับออกมาได้ เนื่องจากมีแก๊ส เกิดขึ้นมากผิดปกติ หรือแก๊สเกิดปกติแต่สัตว์ไม่สามารถเรอเอาแก๊สออกมาได้

สาเหตุ ของการเกิดแก๊สในกระเพาะ

  • กินอาหารข้นมากเกินไป
  • กินพืชตระกูลถั่วในจำนวนมาก จะมีโปรตีนที่ละลายได้ง่ายสูง ( ยอดกระดินอ่อน เปียกน้ำ )
  • กินหญ้าอ่อนหรือยอดอ่อนมาก เวลาสัตว์กินหญ้าอ่อนมักจะกินเร็ว
  • กินพืชมีสารพิษเช่น ใบมัน หัวมัน ยอดอ่อนไมยราบไร้หนาม
  • การเปลี่ยนสูตรอาหารเร็วเกินไป ทำให้จุลินทรีย์ปรับตัวไม่ทันเกิดอาการอาหารไม่ย่อย

การรักษา แพะท้องอืด เบื้องต้น

(เพื่อลดการเกิดแก็สและเร่งระบายแก็ส)

  • กรอกน้ำมันพืช 20-150 ซีซีตามขนาดตัวและอาการ
  • กรอกยาธาตุน้ำแดง อีโน ผงฟู เบคกิ้งโซดา ( โซเคียมไบคาร์บอเนต ) 20-150 ซีซี ตามขนาดตัวและอาการ
  • อย่าให้นอน จับพิงคอกเอาด้านซ้ายออกแล้วเอาเขากดแช่ให้ตดหรือเรอ ทำรอบละ 4-5 ครั้ง หากยังไม่ดีขึ้นสัก 5-10 นาทีทำซ้ำอีก สังเกตการณ์ การเดินการถ่ายปรกติ เคี้ยวเองได้ไหม
  • ถ้ามียา เฮปปาเจน ทำการฉีดตามฉลากระบุไว้

ยาเฮปปาเจน (Hepagen)

ยาขับน้ำดี เป็นยากระตุ้นให้ตับ ผลิตน้ำดีให้มากขึ้น ยานี้ใช้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เข้าช่องท้อง และฉีดช้าๆเข้าเส้น

  • ใช้รักษาอาการที่เกิดร่วมกับโรคตับ มีสรรพคุณต่ออาการที่เกี่ยวกับตับ
  • ขับน้ำดี กระตุ้นตับให้้ผลิตน้ำดีมากขึ้น
  • ช่วยเพิ่มการทำงานของอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการย่อยอาหาร
  • รักษาอาหารไม่ย่อย
  • อาหารเป็นพิษ เบื่ออาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อ
  • รักษาอาการที่พยาธิในกระเพราะและลำไส้

วัว ควาย แกะ : อาหารเป็นพิษ แน่นกระเพราะส่วนรูเม็น อาหารไม่ย่อยมีแก๊สในกระเพราะลำไส้
ม้า : อาการตับผิดปกติเนื่องมาจากเลี้ยงดูไม่สมบูรณ์ มีพยาธิไพโลพลาสมา
หมู : ภาวะโลหิตมีพิษจากลำไส้ บวมน้ำ เบื่ออาหาร ท้องผูก หลังคลอดหรือหย่านม


บทความที่น่าสนใจ

การเลี้ยงกบสำหรับมือใหม่ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

การเลี้ยงกบสำหรับมือใหม่ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

การเลี้ยงกบสำหรับมือใหม่

การเลี้ยงกบสำหรับมือใหม่


แต่เดิมกบเป็นอาหารตามธรรมชาติของมนุษย์ มักจะเจอตามลำห้วย หนอง บึง ท้องนา  แต่ด้วยทุกวันนี้มีการใช้สารเคมีในการเกษตร มีโรงงานเพิ่มมากขึ้น จนทำให้ระบบนิเวศที่กบเคยอาศัยอยู่ได้เปลี่ยนไป  อีกทั้งความต้องการบริโภคกบก็สูงขึ้น ทำให้การจับกบไม่ได้คำนึงถึงว่าจะต้องปล่อยให้ตัวเล็ก ๆ ได้มีโอกาสเติบโตขยายพันธุ์ต่อไป จับมาขายทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ ทำให้จำนวนกบตามธรรมชาติลดน้อยลงเรื่อย ๆ

เกษตรกรจึงมองเห็นโอกาสที่จะสร้างรายได้จากความต้องการกบเพื่อการบริโภค เพราะกบเป็นสัตว์เลี้ยงง่าย ใช้เวลาไม่มาก ลงทุนน้อย และคุ้มค่า มีการทำฟาร์มเลี้ยงกบหลากหลายรูปแบบ ทั้งการเลี้ยงกบแบบธรรมชาติ การเลี้ยงกบในขวด การเลี้ยงกบคอนโด แบบบ่อซีเมนต์ ฯลฯ และก็มีบางส่วนที่ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากยังขาดข้อมูลสำคัญอยู่ เช่น นิสัยใจคอของกบ พื้นที่ที่เหมาะกับการเลี้ยงกบเป็นต้น

การเลือกสถานที่เลี้ยงกบ

สำหรับการเลือกสถานที่ การเลี้ยงกบสำหรับมือใหม่ นั้นการเลือกบ่อหรือคอกเลี้ยงกบควรจะอยู่ไม่ไกลจากที่อยู่อาศัย เพื่อสะดวกในการป้องกันศัตรู เช่น  งู นก หนู หมา แมว และ คน ถ้าบ่อเลี้ยงกบหรือคอกเลี้ยงกบอยู่ห่างจากที่อยู่อาศัยมาก ก็จะถูกศัตรูและคนขโมยจับกบไปขายหมด นกก็มีทั้งกลางวันและกลางคืน ส่วนแมวอันตรายมากเพราะนอกจากจะจับกบกินแล้ว บางครั้งก็ชอบจับกบตัวอื่น ๆ มาหยอกเล่นจนทำให้กบตาย สรุปการเลือกสถานที่เลี้ยงกบควรมีดังนี้

  1. ใกล้บ้าน ง่ายและสะดวกในการดูแลรักษาและป้องกันศัตรู
  2. เป็นที่สูง ป้องกันน้ำท่วม
  3. พื้นที่ราบเสมอ เพื่อสะดวกในการสร้างคอกและแอ่งน้ำ ใกล้แหล่งน้ำ เพื่อสะดวกในการเปลี่ยนถ่ายน้ำ
  4. ให้ห่างจากถนน เพื่อป้องกันเสียงรบกวน เนื่องจากกบต้องการพักผ่อนจะได้โตเร็ว

พันธุ์กบที่นำมาเลี้ยง

พันธุ์กบที่นิยมนำมาเลี้ยงมี 2 พันธุ์คือ กบอเมริกันบูลฟร็อก และกบนา สำหรับผู้เริ่มต้นแนะนำให้เลี้ยงพันธุ์กบนาจะเหมาะกว่า กบนาใช้เวลาเพียง 4-5 เดือน กบก็โตได้ถึงขนาด 4-5 กิโลกรัมต่อตัว เป็นกบที่โตเร็ว และเป็นที่นิยมบริโภคมากกว่าพันธุ์อื่น ๆ

ลักษณะกบนาตัวผู้จะมีขนาดเล็กกว่าตัวเมีย และกบตัวผู้จะมีกล่องเสียงอยู่ใต้คางแถว ๆ มุมปากล่างทั้งสองข้าง ใช้สำหรับส่งเสียงร้องโดยเฉพาะในฤดูผสมพันธุ์ ส่วนกบตัวเมียส่งเสียงร้องได้เหมือนกันแต่เบากว่า ในช่วงฤดูผสมพันธุ์กบตัวผู้จะส่งเสียงร้องและกล่องเสียงจะพองโตและใส ส่วนตัวเมียที่มีไข่แก่จะสังเกตเห็นท้องบวมและใหญ่กว่าปกติ

การเลี้ยงกบสำหรับมือใหม่

การเพาะพันธุ์กบ

การเตรียมพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กบสามารถทำได้ 2 วิธี คือ หาตามแหล่งน้ำธรรมชาติหรือซื้อจากแหล่งเพาะเลี้ยงกบ และเพาะเลี้ยงพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กบขึ้นมาเอง สำหรับผู้เริ่มต้นแนะนำให้หาตามแหล่งน้ำธรรมชาติหรือแหล่งเพาะเลี้ยงพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กบ เนื่องจากหาง่าย มีความทนทานโรค และลงทุนน้อยกว่า

การคัดพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กบ

เมื่อเลือกแล้วว่าจะหาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กบจากแหล่งใด ก็ต้องมาคัดเลือกว่ากบที่จะมาเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ต้องมีลักษณ์อย่างไรบ้าง

  1. แม่พันธุ์ตัวที่มีไข่ส่วนท้องจะขยายใหญ่ และจะมีปุ่มสากข้างลำตัวทั้ 2 ข้าง เมื่อใช้นิ้วสัมผัสจะรู้สึกได้ และแม่พันธุ์ตัวที่พร้อมมากจะมีปุ่มสากมากแต่เมื่อไข่หมอท้องปุ่มสากนี้ก็จะหายไป
  2. การคัดเลือกพ่อพันธุ์ เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์กบตัวผู้จะส่งเสียงร้องเสียงดังและกล่องเสียงที่ใต้คางก็จะพองโปน ลำตัวจะมีสีเหลืองเข้มและมื่อเราใช้นิ้วสอดที่ใต้ท้อง มันจะใช้ขาหน้ากอดรัดนิ้วเราไว้แน่น

การเตรียมบ่อเพาะพันธุ์กบ

เมื่อได้พ่อพันธุ์แม่พันธุ์กบแล้วต้องมีการเตรียมสถานที่สำหรับผสมพันธุ์

  1. ล้างทำความสะอาดบ่อเพาะพันธุ์ด้วยด่างทับทิมเข้มข้น 10 ppm แช่ทิ้งไว้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง จากนั้นล้างทำความสะอาดด่างทับทิมออกให้หมด
  2. เติมน้ำสะอาดใส่บ่อให้ลึกประมาณ 5-7 ซม. และไม่ควรให้ระดับน้ำสูงเกินไปกว่านี้เพราะไม่สะดวกในการที่กบตัวผู้จะโอบรัดตัวเมีย เพราะว่าขณะที่กบตัวเมียเบ่งไข่ออกมาจากท้อง จะต้องใช้ขาหลังยันที่พื้น ถ้าน้ำลึกมากขาหลังจะยันพื้นไม่ถึงและจะลอยน้ำทำให้ไม่มีพลัง เป็นเหตุให้ไข่ออกมาไม่มาก
  3. เตรียมฝนเทียม โดยทั่วไปกบจะจับคู่ผสมพันธุ์ในช่วงฤดูฝน แต่เราจะเลียนแบบธรรมชาติ โดยนำท่อ PVC ขนาดครึ่งนิ้ว มาเจาะรูเล็กๆ ตามท่อต่อน้ำเข้าไปและให้น้ำไหลออกได้คล้ายฝนตก แล้วนำท่อท่อนนี้ไปพาดไว้บนปากบ่อหรือหลังคาคลุมบ่อ และเปิดใช้เวลาที่จะทำการผสมพันธุ์กบ

การผสมพันธุ์กบ

  1. ปล่อยพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ลงไปในบ่อที่เตรียมไว้โดยให้มีตัวผู้ต่อตัวเมียจำนวน 1:1 ต่อพื้นที่ 1 ตร.ม. และต้องปล่อยให้กบผสมกันในตอนเย็น
  2. เมื่อปล่อยกบลงไปแล้วจึงเปิดฝนเทียมเพื่อเป็นการกระตุ้นให้กบจับคู่ผสมพันธุ์ ซึ่งจะอยู่ในช่วงเวลา ประมาณ 17.00 น. – 22.00 น. ซึ่งภายในบ่อเพาะต้องมีท่อให้น้ำล้นออกด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้ระดับน้ำสูงเกินไป
  3. กบจะจับคู่ผสมพันธุ์และจะปล่อยไข่ตอนเช้ามืด

การลำเลียงไข่กบจากบ่อผสมไปบ่ออนุบาล

  1. หลังจากกบปล่อยไข่แล้วในตอนเช้า ต้องจับกบขึ้นไปใส่ไว้ในบ่อดิน จากนั้นจะค่อย ๆ ลดน้ำในบ่อลงและใช้สวิงผ้านิ่ม ๆ รองรับไข่ที่ไหลตามน้ำออกมา ในขณะที่น้ำลดนั้นต้องคอยใช้สายยางฉีดน้ำเบา ๆ ไล่ไข่  ขั้นตอนนี้ต้องทำด้วยความระมัดระวังไม่ให้ไข่แตก และจะต้องทำในตอนเช้าในขณะที่ไข่กบยังมีวุ้นเหนียวหุ้มอยู่
  2. นำไข่ที่รวบรวมได้ไปใส่บ่ออนุบาลโดยใช้ถ้วยตวงตักไข่ โรยให้ทั่วๆ บ่อแต่ต้องระวังไม่ให้ไข่กบซ้อนทับกันมาก เพราะจะทำให้ไข่เสียและไม่ฟักเป็นตัว เนื่องจากขาดออกซิเจน
  3. ระดับน้ำที่ใช้ในการฟักไข่ประมาณ 7-10 ซม. ไข่จะฟักเป็นตัวภายใน 24 ชม.

การอนุบาลและการให้อาหารลูกกบ

เมื่อไข่กบฟักออกเป็นตัวแล้วช่วงระยะ 2 วันยังไม่ต้องให้อาหาร เพราะลูกกบยังไใช้ไข่แดง (yolk sac) ที่ติดมาเลี้ยงตัวเองอยู่ หลังจากนั้นจึงเริ่มให้อาหาร เช่น ไรแดง ไข่ตุ๋น อาหารเม็ด ตามลำดับดังนี้

  • อายุ 3 – 7 วัน ให้อาหาร 20 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว จำนวน 5 มื้อต่อวัน
  • อายุ 7 – 21 วัน ให้อาหาร 10-15 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว จำนวน 5 มื้อต่อวัน
  • อายุ 21 – 30 วัน ให้อาหาร 5-10 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว จำนวน 4 มื้อต่อวัน
  • อายุ 1 – 4 เดือน ให้อาหาร 4-5 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว จำนวน 2 มื้อต่อวัน

การเปลี่ยนถ่ายน้ำ

  1. เมื่อลูกอ๊อดฟักออกเป็นตัวจะต้องเพิ่มระดับน้ำในบ่อขึ้นเรื่อยๆ จนอยู่ที่ระดับความลึก 30 ซม.
  2. ลูกอ๊อดอายุครบ 4 วัน จะต้องทำาการย้ายบ่อครั้งที่ 1 และระดับน้ำที่ใช้เลี้ยงควรอยู่ที่ระดับ 30 ซม.
  3. เปลี่ยนถ่ายน้ำทุกวันๆ ละ ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์
  4. ทุกๆ 3-4 วัน ทำการย้ายบ่อพร้อมกับคัดขนาดลูกอ๊อด
  5. เมื่อลูกอ๊อดเริ่มเข้าที่ขาหน้าเริ่มงอกต้องลดระดับน้ำในบ่อลงมาอยู่ที่ระดับความลึกประมาณ 5-10 ซม. และจะต้องใส่วัสดุที่ใช้สำหรับเกาะอาศัยลงไปในบ่อ เช่น ทางมะพร้าว แผ่นโฟม เป็นต้น

การคัดขนาดลูกกบ (ลูกอ๊อด)

เมื่อเลี้ยงไปได้ประมาณ 1 สัปดาห์หลังฟักออกจากไข่ ลูกอ๊อดจะเริ่มมีขนาดไม่เท่ากัน เนื่องจากการที่กบกินอาหารไม่ทันกัน  ดังนั้นจึงต้องทำการคัดขนาดเมื่อลูกอ๊อดอายุได้ประมาณ 7 – 10 วัน โดยการใช้ตะแกรงคัดขนาดที่ทำจากตาข่ายพลาสติกที่มีขนาดของช่องตาขนาดต่างๆกัน ซึ่งเราสามารถเลือกซื้อตามขนาดของตัวอ๊อดระยะต่างๆ ได้

โดยให้ทำการคัดขนาดทุก ๆ 3-4 วันทำและแยกไปไว้ในแต่ละบ่อ  ในระยะที่ลูกอ๊อดบางตัวเริ่มมีขาหน้างอกออกมาจะใช้ตะแกรงคัดขนาดไม่ได้แล้ว เนื่องจากลูกอ๊อดจะเกาะอยู่ที่ตะแกรงและไม่ลอดช่องลงไปจนต้องเปลี่ยนมาใช้กะละมังเติมน้ำให้เต็มแล้วคัดลูกกบที่มีครบ 4 ขาออกไปใส่บ่อเดียวกันไว้

เมื่อลูกกบอายุประมาณ 1 เดือนลูกกบจะเป็นตัวเต็มวัยไม่พร้อมกัน ลูกกบตัวที่หางยังครบก็จะอยู่ในน้ำ ส่วนลูกกบตัวที่หางหดเป็นตัวเต็มวัยแล้วก็จะอยู่บนบก จึงต้องคัดแยกลูกกบที่โตเต็มวัยออกไปใส่บ่ออื่น ๆ โดยในบ่อแต่ต่อจะแบ่งตามอายุลูกกบดังนี้

  • อายุ 7 วัน อนุบาลและการปล่อยเลี้ยง 2,000 ตัว/ตร.ม.
  • อาย ุ 8 – 14 วัน อนุบาลและการปล่อยเลี้ยง 1,500 ตัว/ตร.ม.
  • อายุ 15 – 25 วัน อนุบาลและการปล่อยเลี้ยง 800 ตัว/ตร.ม.
  • อายุ 26 – 30 วัน อนุบาลและการปล่อยเลี้ยง 500 ตัว/ตร.ม.
  • อายุ 1 – 4 เดือน อนุบาลและการปล่อยเลี้ยง 100 – 150 ตัว/ตร.ม.

การดูแลและเลี้ยงกบเต็มวัยจนกบโต

การให้อาหารกบควรจะให้วันละ 2 ครั้ง คือ เวลา 07.00 น. และ 17.00 น. โดยให้ปริมาณอาหารเท่ากับ 10 % ของน้ำหนักกบ เช่น กบในบ่อมีน้ำหนักประมาณ 100 กิโลกรัม ควรให้อาหาร 10 กิโลกรัม เป็นต้น

อาหารของกบมีหลายอย่าง ขึ้นอยู่กับว่าผู้เลี้ยงสามารถหาอาหารแบบใดได้

  1. เนื้อปลาสับ
  2.  ปลายข้าว 1 ส่วน ผักบุ้ง 2 ส่วน ต้มรวมกับ เนื้อปลา เนื้อหอยโข่ง หรือปู
  3. เปิดไฟล่อให้แมลงมาเล่นไฟแล้วตกลงในบ่อเลี้ยง แต่ผลเสียคือ แมลงอาจจะมีพิษหรือแมลงมียาฆ่าแมลงตกค้าง ทำให้กบตายได้

ในการให้อาหารช่วงเช้า 07.00 น. ต้องมีการเก็บภาชนะไปล้างประมาณเวลา 10.00 น. เพื่อป้องกันอาหารบูด ส่วนอาหารเย็น 17.00 น.ไม่ต้องเก็บภาชนะไปล้าง เพราะว่ากลางคืนอาหารจะไม่บูดเสีย และธรรมชาติของกบจะหากินตอนกลางคืน

การเลี้ยงกบต้องคอยคัดขนาดกบให้เท่า ๆ กันในแต่ละบ่อ เพื่อไม่ให้กบใหญกินกบเล็ก  และกบเป็นสัตว์ที่ชอบอิสระเสรี ถ้าใช้อวนไนลอนกั้นคอก ทำให้กบสามารถมองเห็นภายนอกและพยายามหาทางออกไปข้างนอก โดยจะกระโดดชนอวนไนลอนจนปากกบบาดเจ็บและเป็นแผล กินอาหารได้น้อยลงจนถึงกินไม่ได้เลยก็มี

การเลี้ยงกบในบ่อดิน

ใช้พื้นที่ประมาณ 100-200 ตารางเมตร ภายในคอกเป็นบ่ำน้ำลึกประมาณ 1 เมตร ทำเกาะกลางบ่อเพื่อเป็นที่พักของกบและที่ให้อาหาร หรือใช้ไม้กระดานทำเป็นพื้นลาดลงจากชานบ่อก็ได้ รอบบ่อปล่อยให้หญ้าขึ้น หรือปลูกตะไคร้เพื่อให้กบใช้เป็นที่หลบอาศัย มีผักตบชวาหรือพืชน้ำอื่นๆ ให้กบเป็นที่หลบซ่อนและอาศัยความร่มเย็นเช่นกัน มุมใดมุมหนึ่งมุงด้วยทางมะพร้าวเพื่อเป็นร่มเงา

การเลี้ยงกบในคอก

เมื่อปรับพื้นที่ราบเรียบเสมอกันแล้ว ขุดอ่างน้ำไว้ตรงกลางคอก เช่น คอกขนาด 4 x 4 เมตร ขนาด 6 x 6 เมตร หรือขนาด 8 x 8 เมตร ต้องทำแอ่งน้ำขนาด 2 x 3 เมตร มีความลึกประมาณ 20 ซม. เป็นบ่อซีเมนต์และลาดพื้นแอ่งน้ำเป็นพื้นที่ชานบ่อทั้ง 4 ด้าน ขัดมันกันรั่ว ใส่ท่อระบายน้ำจากแอ่งขนาด 0.5 นิ้ว รอบๆ แอ่งน้ำเป็นพื้นที่ชานบ่อทั้ง 4 ด้าน เพื่อสะดวกต่อการให้อาหารและที่กบได้พักอาศัย รอบ ๆ คอกปักเสาทั้ง 4 ด้านให้ห่างกัน ช่วงละ 2 เมตร นำอวนสีเขียวมาขึงรอบนอก นำทางมะพร้าวแห้งมาพาดให้เต็มแต่อย่าแน่นเกินไป แล้วหากระบะไม้ กะละมังแตก หรือกระบอกไม้ไผ่อันใหญ่ๆ มาวางไว้ในคอกเพื่อให้กบหลบซ่อนตัวในเวลากลางวัน ส่วนกระบะหรือลังไม้ที่นำมาวาง ให้เจาะประตูเข้าออกทางด้านหัวและท้ายเพื่อสะดวกต่อการจับกบจำหน่ายการทำคอกเลี้ยงกบแบบนี้ มีอัตราปล่อยกบลงเลี้ยง คือ

  • คอกขนาด 4 x 4 เมตร ปล่อยกบลงเลี้ยงได้ไม่เกิน 1,000 ตัว
  • คอกขนาด 6 x 6 เมตร ปล่อยกบลงเลี้ยงได้ไม่เกิน 1,200 ตัว
  • คอกขนาด 8 x 8 เมตร ปล่อยกบลงเลี้ยงได้ไม่เกิน 2,500 ตัว

การเลี้ยงกบในบ่อปูนซีเมนต์

แบบนี้เป็นที่นิยมเพราะดูแลรักษาง่าย กบมีความเป็นอยู่ดีและเจริญเติบโตดี สะดวกสบายต่อผู้เลี้ยงในด้านการดูแลรักษา บ่อปูนซีเมนต์สร้างจากแผ่นซีเมนต์บล๊อก และฉาบด้วยปูนซีเมนต์ ปูนที่ฉาบจะหนาเป็นพิเศษ ตรงส่วนล่างที่เก็บขังน้ำ คือ มีความสูงจากพื้นเพียง 1 ฟุต พื้นล่างเทปูนหนาเพื่อรองรับน้ำ และมีท่อระบายน้ำอยู่ตรงส่วนที่ลาดสุด พื้นที่เป็นที่ขังน้ำนี้ นำวัสดุลอยน้ำ เช่น ไม้กระดาน ขอนไม้ ต้นมะพร้าว ให้ลอยน้ำ เพื่อให้กบขึ้นไปเป็นที่อยู่อาศัย สามารถเลี้ยงปลาดุกเพื่อให้เก็บกินเศษอาหารและมูลกบได้ด้วย ในอัตราส่วนกบ:ปลาดุก 100:20 ด้านบนของบ่อจะเปิดกว้างเพื่อให้แดดส่องลงไปทั่วถึง มุมใดมุมหนึ่งของบ่นำทางมะพร้าวมาปกคลุม เพื่อเป็นส่วนของร่มบ่อเลี้ยงกบแบบซีเมนต์ ถ้าทำขนาด 3 x 4 เมตร ปล่อยกบลงเลี้ยงได้ 1,000 ตัวและปลาดุกอีก 200 ตัวพื้นล่างของบ่อดังกล่าว

การจับกบจำหน่าย

เนื่องจากสถานที่และรูปแบบบ่อเลี้ยง ทำให้ความสะดวกในการดูแลรักษาย่อมแตกต่างกัน ยังรวมไปถึงการจับกบจำหน่ายก็แตกต่างกันอีกด้วย ดังนี้

  1. การเลี้ยงกบในบ่อดิน จะต้องจับหมดทั้งบ่อในคราวเดียวเพราะบ่อเลี้ยงมีโคลนตมและต้องเก็บพืชน้ำ เช่น ผักบุ้ง ผักตบชวา ขึ้นให้หมดก่อน ต้องใช้เวลาและแรงงานมาก และต้องไล่จับกบที่หลบซ่อนให้หมดในครั้งเดียว
  2. การเลี้ยงกบในคอก สามารถจับทั้งหมดหรือจับเป็นบางส่วนก็ได้โดยทำกระบะไม้ ซึ่งปกติกบก็จะเข้าไปอยู่ในกระบะ แล้วให้มีช่องเข้าออกอยู่ตรงข้ามกัน ด้านหนึ่งให้กบกระโดดออกจากบ่อเข้ากระสอบที่เตรียมไว้ และช่องสำหรับให้มือล้วงไปต้อนให้กบกระโดดเข้ากระสอบ
  3. การเลี้ยงกบในบ่อปูนซีเมนต์ สามารถจับทั้งหมดหรือจับเป็นบางส่วนก็ได้โดยใช้สวิงช้อน หรือใช้มือจับก็ได้

การเลี้ยงกบควรจะคำนึงถึงฤดูต่าง ๆ ด้วย เนื่องจากฤดูฝนจะมีกบธรรมชาติออกมาขายค่อนข้างมาก จึงทำให้ราคากบในช่วงฤดูฝนต่ำกว่าฤดูอื่น ผู้เลี้ยงจึงต้องเผื่อระยะเวลาเพื่อให้กบโตพร้อมจะจับในช่วงฤดูร้อนหรือฤดูหนาว จึงจะขายได้ราคาคุ้มค่าการลงทุน

และการขนส่งกบควรจะมีภาชนะใส่น้ำเล็กน้อย และมีวัสดุให้กบเข้าไปหลบอาศัย เช่น ฟาง ผักบุ้ง ผักตบชวา เพราะถ้าไม่มีวัสดุให้กบหลบซ่อน จะทำให้กบตกใจกระโดดจนจุกเสียและตายได้

โรคและการป้องกันโรค

โรคที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เกิดการเลี้ยงและการจัดการไม่ดี ทำให้มีการหมักหมมของเสียต่าง ๆ เกิดขึ้นในบ่อ โดยเฉพาะการใช้บ่อซีเมนต์ หรือมีจำนวนกบหนาแน่นเกินไป และอาจจะขาดความเอาใจใส่และไม่เข้าใจในเรื่องความสะอาดของบ่อรวมถึงน้ำที่เลี้ยง โอกาสที่กบจะเป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียจึงมีมากขึ้น

สิ่งสำคัญเกี่ยวกับการป้องกันโรคคือ บ่อเลี้ยงต้องสะอาด มีแสงแดดส่งถึงพื้น น้ำต้องสามารถถ่ายเทได้สะดวกโดยทำท่อน้ำเข้าทางหนึ่ง และทำท่อน้ำระบายออกอีกทางหนึ่ง

และยังสามารถเลี้ยงปลาดุกเพื่อให้ช่วยเก็บกินเศษอาหารและมูลกบ ในอัตรส่วนกบ:ปลาดุก 100:20 นั่นคือปล่อยกบ 100 ตัว แล้วปล่อยปลาดุกไม่เกิน 20 ตัว  การปล่อยกบเลี้ยงในบ่อต้องไม่มีจำนวนมากเกินไป และถ้าพบว่ากบตัวใดมีอาการผิดปกติให้แยกออกมาจากบ่อทันที

ขอบคุณที่มารูปภาพ : facebook กบเลี้ยงแบบธรรมชาติ จำหน่ายกบสด


บทความที่น่าสนใจ

เลี้ยงปลาไหลนาเลียนแบบธรรมชาติ ดูแลง่ายโตไว

เลี้ยงปลาไหลนาเลียนแบบธรรมชาติ ดูแลง่ายโตไว

เลี้ยงปลาไหลนาเลียนแบบธรรมชาติ

เลี้ยงปลาไหลนาเลียนแบบธรรมชาติ


สวัสดีครับ ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงวิธีการ เลี้ยงปลาไหลนาเลียนแบบธรรมชาติ กันครับ สำหรับปลาไหล นั้นเป็นปลาน้ำจืด ที่ได้รับความนิยมในการเลี้ยง และ บริโภคมาเป็นระยะเวลายาวนานมาก และยังมีความต้องการในการบริโภคอย่างต่อเนื่อง เริ่มมีผู้ให้ความสนใจอยากจะทดลองเลี้ยงในรูปแบบต่างๆ อยู่เสมอไม่ว่าจะเป็น การเลี้ยงปลาไหลระบบน้ำใส หรือ การเลี้ยงปลาไหลในบ่อพลาสติก เป็นต้น สำหรับบทความนี้จะเป็นการแนะนำแนวทางการเลี้ยงปลาไหล ในสไตล์เลียนแบบธรรมชาติที่สามารถนำมาใช้งานได้จริง และขั้นตอนการดูแลไม่ยุ่งยากด้วยครับ

ปลาไหลนา หรือ ปลาไหลบึง เป็นปลาน้ำจืด มีรูปร่างเรียวยาวคล้ายงู ตามีขนาดเล็ก คอป่องออก มีอวัยวะช่วยหายใจอยู่ในคอหอยเป็นเส้นเลือดฝอย ซึ่งช่วยให้หายใจได้โดยไม่ต้องผ่านซี่กรองเหงือกเหมือนปลาทั่วไป และยังสามารถขุดรูในดินเพื่อจำศีลในช่วงฤดูร้อนได้ด้วย สีลำตัวปกติเป็นสีเหลืองทอง ใต้ท้องสีขาว ในบางตัวอาจมีจุดกระสีน้ำตาล แต่ก็มีพบมากที่สีจะกลายไป เป็นสีเผือก สีทองทั้งตัว หรือสีด่าง มีความยาวประมาณ 60 เซนติเมตร พบใหญ่สุดถึง 1 เมตร

พ่อแม่พันธุ์ปลาไหลนา

สำหรับการหาพ่อแม่พันธุ์ปลาไหลนานั้น สามารถหาได้ตามบ่อท้องไร่ท้องนาหรือตามห้วยหนอง คลองบึง ได้เลย โดยการใช้ที่ดักปลาไหล เช่น บั้งรันดัก ลักษณะพ่อแม่พันธุ์ปลาไหลนากนั้น ควรมีลักษณะลำตัวดังนี้

  • แม่พันธุ์ปลาไหลนา ควรมีน้ำหนักตัวอยู่ในช่วง 60-200 กรัม และความยาวลำตัวอยู่ในช่วง 40-50 ชม.
  • พ่อพันธุ์ปลาไหลนามีน้ำหนักตัวมากกว่า 300 กรัม และความยาวลำตัวมากกว่า 70 ชม.

การเตรียมบ่อเพาะขยายพันธุ์

เตรียมบ่อเลียนแบบธรรมชาติ (บ่อซีเมนต์หรือบ่อพลาสติก ขนาด 1 x 2 หรือ 2 x 4 หรือ 3 x 6 เมตร ) โดยนำแผงไม้ไผ่มาวางตรงกลางภายในบ่อ เว้นระยะห่างระหว่างแผงไม้ไผ่กับขอบบ่อแต่ละด้านประมาณ 30-40 ซม. แล้วนำดินนาหรือดินเหนียวที่มีลักษณะเป็นก้อนดินมาใสให้เต็มบริเวณพื้นที่รอบขอบบ่อแต่ละด้าน ให้มีความสูงประมาณ 30 เซนติเมตร จากนั้นเติมน้ำลงไปในบ่อให้มีระดับความลึกประมาณ 15-20 ซม. และมีส่วนของดินที่อยู่โผล่เหนือน้ำประมาณ 10-15 ซม. ปลูกพืชน้ำให้เป็นที่หลบซ่อนของพ่อแม่พันธุ์ ทั้งนี้เตรียมบ่ออย่างน้อย 1 เดือน เพื่อให้เกิดความสมดุลของระบบนิเวศภายในบ่อ และเตรียมอย่างน้อยจำนวน 2 บ่อ เพื่อใช้เป็นบ่อพักพ่อแม่พันธุ์ปลาไหลนา และบ่อสำหรับเพาะขยายพันธุ์

คัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ปลาไหลนาที่รวบรวมจากแหล่งน้ำตามธรรมชาติที่มีสภาพแข็งแรงและขนาดที่เหมาะสม มาพักไว้ในบ่อพัก (ภาพที่ 3 ข) (ความหนาแน่น 1 กก./ตร.ม) อย่างน้อย 2-3 เดือน ก่อนถึงช่วงฤดูกาลผสมพันธุ์ คือ ระหว่างเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม เพื่อให้พ่อแม่พันธุ์ได้ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม

จากนั้นปล่อยพ่อแม่พันธุ์ในบ่อเพาะขยายพันธุ์ อัตราส่วนจำนวนพ่อพันธุ์ต่อแม่พันธุ์ คือ 1-2 ตัว (ความหนาแน่น 1 กก./ตร.ม)

การฟักไข่และอนุบาลลูกปลาไหลนา

ภายใน 1 – 2 สัปดาห์ พ่อแม่พันธุ์ปลาไหลนาจะผสมพันธุ์วางไข่โดยเริ่มแรกพ่อพันธุ์จะทำโพรงดินบริเวณพื้นที่ดินที่ปริ่มน้ำ และก่อหวอด เพื่อให้แม่พันธุ์มาผสมพันธุ์และวางไข่บริเวณหวอด ทั้งนี้ภายหลังปล่อยพ่อแม่พันธุ์ปลาไหลนาที่ถูกฉีดกระตุ้นด้วยฮอร์โมนสังเคราะห์ในบ่อเพาะขยายพันธุ์แล้ว ให้ทำการเช็คการผสมพันธุ์วางไข่ของพ่อแม่พันธุ์ภายใน 1 สัปดาห์ หากไม่พบการผสมพันธุ์วางไข่ (สังเกตจากหวอด) ให้ทำการเช็คการผสมพันธุ์วางไข่ ทุก 2 – 3 วัน นอกจากนี้หากตรวจพบไข่บริเวณหวอดให้ทำการเก็บไขไปฟักในระบบถาดต่อไป

ไข่ปลาไหลนาที่อยู่ในระบบถาด จะฟักออกมาเป็นลูกปลาไหลนา ภายใน 3 – 5 วัน โดยระยะแรกลูกปลาไหลนาจะมีถุงไข่แดงบริเวณใต้ท้องในระยะนี้ไม่ต้องมีการให้อาหาร จากนั้นภายใน 2 – 3 วันถุงไข่แดงก็จะยุบหายไป เริ่มให้ไรแดงเป็นอาหารแก่ลูกปลาไหลนา ซึ่งขั้นตอนต่อไปก็นำลูกปลาไหลนาไปอนุบาลในลักษณะเดียวกับการเพาะขยายพันธุ์โดยวิธีเลียนแบบธรรมชาติ

การให้อาหาร

การอนุบาลลูกปลาไหลหลังจากที่ลูกปลาไหลฟักออกแล้ว 3-5 วัน ให้เริ่มให้อาหารด้วยไข่ต้มบด และไรแดง 2 ครั้ง/วัน เช้า และเย็นเป็นเวลา 2 อาทิตย์ หลังจากนั้น จึงให้อาหารที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เช่น หนอนแดง หรือ ไส้เดือนขนาดเล็ก นาน อีก 1 เดือน จึงพร้อมปล่อยเลี้ยงในบ่อต่อไป

การให้อาหารจะให้เดือนละครั้ง อาหารที่ให้ เช่น ซากสัตว์ที่ตาย ไส้หมู, หนังควาย ปลวกไส้เดือน หอย หนอน

ข้อควรระวังในการเลี้ยงปลาไหล

การรวบรวมพันธุ์ปลาจากธรรมชาติ เข้ามาเลี้ยงควรระมัดระวังในเรื่องการลำเลียงไม่ควรให้หนาแน่นมากเกินไปปลาจะบอบช้ำได้ และ ควรคัดปลาขนาดเดียวกันลงเลี้ยงรวมกันเพื่อลดปัญหาการกินเองโดยเฉพาะในปลาอายุต่ำกว่า 2 เดือน พื้นบ่ออนุบาลควรฉาบผิวให้เรียบป้องกันปลาเป็นแผลถลอกได้ ฟางข้าวที่ใช้เพื่อการเลี้ยงควรเป็นฟางข้าวที่แห้ง บ่อควรมีร่มเงาบังแสงแดดบ้าง


บทความที่น่าสนใจ

การปลูกในวงบ่อซีเมนต์ และวิธีการบังคับมะนาวออกนอกฤดู (ฤดูแล้ง)

การปลูกในวงบ่อซีเมนต์ และวิธีการบังคับมะนาวออกนอกฤดู (ฤดูแล้ง)

การปลูกในวงบ่อซีเมนต์

การปลูกในวงบ่อซีเมนต์


“มะนาว” เป็นไม้ผลขนาดเล็กมีความสำคัญในระดับท้องถิ่นที่คนไทย นิยมนำมะนาวมาปรุงอาหารต่าง ๆ เช่น น้ำพริก ต้มยำกุ้ง ต้มยำปลาต้มยำต่าง ๆ ต้มข่าไก่ ส้มตำ ผัดไทย มะนาวยังเป็นไม้ผลที่มีวิตามินซีสูงสามารถทำเป็นน้ำผลไม้และเป็นพืชสมุนไพรรักษาโรคต่าง ๆ ได้หลายชนิด การปลูกมะนาวสามารถปลูกได้หลายวิธี ถ้าต้องการบังคับมะนาวให้ออกนอกฤดู โดยไม่ใช้สารเคมี ที่นิยมปลูกในปัจจุบันคือ “การปลูกในวงบ่อซีเมนต์” โดยมีขั้นตอนดังนี้

การคัดเลือกพันธุ์

  • พันธุ์มะนาวที่ปลูกในวงบ่อซีเมนต์

เพื่อบังคับให้มะนาวออกดอก-ติดผลนอกฤดูกาล สามารถ บังคับให้ออกดอก-ติดผลได้ทุกสายพันธุ์พันธุ์มะนาวที่เหมาะสมสำหรับการปลูกในวงบ่อซีเมนต์ เพื่อบังคับให้ออกนอกฤดูกาล เช่นมะนาวพันธุ์พิจิตร 1, มะนาวพันธุ์ตาฮิติ, มะนาวพันธุ์แป้นรำไพ, มะนาวพันธุ์ด่านเกวียน

  • ต้นพันธุ์มะนาวคัดเลือกต้นพันธุ์มะนาวจาก “กิ่งตอน” หรือ “การเสียบยอด” เลือกต้นพันธุ์ที่สมบูรณ์แข็งแรงมาปลูกในวงบ่อซีเมนต์

การเตรียมพื้นที่ สำหรับการปลูกมะนาว

  • ทำการปรับพื้นที่ให้เรียบสม่ำเสมอ กำหนดระยะปลูกมะนาว ระหว่างแถว – ต้น
  • ระยะการวางวงบ่อซีเมนต์โดยทั่วไป มี 2 ระยะได้แก่ ระยะการวางวงบ่อซีเมนต์ระหว่างแถว – ต้นห่างกัน 3 เมตร และ 3.5 เมตร เพื่อสะดวกต่อการดูแลรักษาและการเก็บเกี่ยวผลผลิต

การปลูกในวงบ่อซีเมนต์

การเตรียมวงบ่อซีเมนต์

วงบ่อซีเมนต์ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 80 เชนติเมตร สูง 40 เซนติเมตร ด้านล่างของวงบ่อซีเมนต์ต้องมีแผ่นซีเมนต์วงกลมวางรองก้นวงบ่อซีเมนต์ (ต้องไม่เชื่อมติดกับวงบ่อซีเมนต์)

การเตรียมดินปลูก

ส่วนผสมดินสำหรับปลูกมะนาว ในวงบ่อซีเมนต์

  • หน้าดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ 2 ส่วน
  • ปุ๋ยคอกที่สลายตัวแล้ว 1 ส่วน
  • ปุ๋ยหมักที่สลายตัวแล้ว 1 ส่วน
  • ขี้เถ้า (แกลบดำ) 1 ส่วน

” ดินผสมอาจมีหลายสูตร สามารถใช้ตามความเหมาะสมของผู้ปลูก “

การปลูก

  • นำดินที่ผสมแล้วมาใส่ในวง บ่อซีเมนต์ ที่จัดเตรียมไว้ในวงบ่อซีเมนต์ แล้วย่ำให้แน่นพอควร แล้วพูนดินปลูกขึ้นมาอีกเมื่อปลูกมะนาวไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ดินจะยุบตัวพอดีกับขอบวงบ่อซีเมนต์
  • ขุดหลุมตรงกลางในวงบ่อซีเมนต์ขนาดเท่ากับถุงมะนาวที่ชำแล้วบี่บรอบถุงชำมะนาวเบา ๆ เมื่อดินหลวม ๆ ดึงถุงพลาสติกออก
  • นำต้นพันธุ์มะนาวปลูกตรงกลางหลุมกลบดิน กดดินเบา ๆ ให้แน่นพอประมาณ จากนั้นนำหลักมาปักแล้วใช้เชือกฟางผูกต้นพันธุ์มะนาวกับหลักให้แน่น เพื่อป้องกันลมพัด – โยก
  • ใช้ฟางข้าวหรือเศษหญ้าแห้ง คลุมหน้าดินช่วยควบคุมความชื้นในวงบ่อซีเมนต์ได้ดีขึ้น (ไม่ต้องรดน้ำบ่อย ๆ ) รดน้ำให้ชุ่มในครั้งแรกอาจต้องเปลืองน้ำบ้างสังเกตให้น้ำซึมถึงดินบริเวณวงบ่อซีเมนต์ด้านล่าง

การปลูกในวงบ่อซีเมนต์

การปฏิบัติดูแลรักษา

  • การให้น้ำ

สังเกตจากใบยอดมีอาการเริ่มขาดน้ำ (เริ่มเหี่ยว) ก็รดน้ำให้พอชุ่มจะใช้เวลาประมาณ 7-15 วันต่อครั้งหรือตามวัสดุที่ใช้ปลูกและความอุดมสมบูรณ์ของดินของแต่ละวงบ่อซีเมนต์ ควรรดน้ำให้ชุ่มทั้งวงบ่อซีเมนต์

  • การใส่ปุ๋ย

ในระยะการเจริญเติบโต ควรใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือปุ๋ยที่มีสูตรใกล้เคียง ในอัตรา 2 ช้อนแกง ต่อ 1 ต้น ต่อ 1 เดือน หรือประมาณ 1 กำมือพอดี พอผลมะนาวเจริญเติบโตประมาณเท่าลูกปิงปองแล้วให้ใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 หรือ 14-14-21 ในอัตราเท่ากัน จะทำให้มะนาวมีน้ำมากขึ้นและเปลือกจะบางลง

  • การตัดแต่งกิ่ง

มะนาว เป็นไม้ผลที่มีความจำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งหลังการเก็บผลผลิตแล้ว แต่มะนาวบางพันธุ์ต้องตัดแต่งกิ่งก่อนการออกดอก เช่น มะนาวพันธุ์พิจิตร 1 (แป้นพิจิตร) เป็นมะนาวที่ออกดอก ติดผลที่ปลายกิ่ง ต้องตัดยอดเพื่อให้แตกกิ่งจำนวนมากจะทำให้มะนาวออกดอกติดผลดก

  • การค้ำกิ่ง

เมื่อมะนาวติดผลดีแล้วจำเป็นต้องทำการค้ำกิ่ง เพื่อป้องกันไมให้กิ่งฉีก-หัก หรือล้ม-เอน ตามน้ำหนักของผลจะค้ำเป็นรายกิ่งหรือจะทำแบบนั่งร้านจะเหมาะสมมาก หรือจะมีวิธีแบบทำอย่างอื่นก็ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่

โรคศัตรูสำคัญที่พบในมะนาว

1) โรคแคงเกอร์

สาเหตุ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียเข้าทำลายทั้งใบ กิ่ง และผลของมะนาว ทำให้เกิดโรคตกสะเก็ดบนใบ กิ่ง และผล ถ้าระบาดมากใบจะร่วงและกิ่งจะแห้งตาย ผลขรุขระไม่น่ารับประทาน เป็นโรคที่สำคัญที่ทำความเสียหายแก่มะนาวมากที่สุด

การป้องกันกำจัด ไม่ควรขยายพันธุ์มะนาวจากต้นที่เป็นโรคแคงเกอร์มาปลูก ควรตัดแต่ง ใบ กิ่ง และผลมะนาวที่เป็นโรคนี้ไปเผาไฟ พ่นสารประกอบทองแดง เช่น คูปราวิทค็อปปิไซด์ หรือยาปฏิชีวนะที่ทำลายเชื้อแบคทีเรีย เช่น สเตร็ปโตมัยซินซัลเฟตแอกริมัยซิน หรือแคงเกอร์เอ็กซ์ วิธีที่ดีที่สุดควรปลูกพันธุ์ที่มีความต้านทาน เช่น พันธุ์พิจิตร 1, พันธุ์ตาฮิติ, พันธุ์ด่านเกวียน

2) โรครากเน่าโคนเน่า

สาเหตุ เกิดจากเชื้อราไฟท็อปทอราหรือเกิดจากการปลูกมะนาวลึกเกินไป หรือเกิดจากมีน้ำท่วมมากเป็นเวลานาน หรือเกิดจากการใช้ปุ๋ยคอกหรือปุยหมักที่สดยังไม่สลายตัวมาเป็นวัสดุในการปลูกมะนาว มะนาวจะแสดงอาการใบเหลืองซีด และเหี่ยวใบร่วง และกิ่งแห้งตายในที่สุด

การป้องกันกำจัด ไม่ควรปลูกมะนาวลึกเกินไป ก่อนใส่ปุ๋ยหมักและปุยคอกควรกำจัดเชื้อราก่อน โดยเชื้อไตรโครเดอร์มามาคลุกดินก่อนการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ ไม่ควรใช้วงบ่อที่มีกันติดกับวงบ่อซีเมนต์ทำให้การระบายน้ำจะไม่สะดวก รากมะนาวอาจเน่าตายเสียหายได้ถ้าพบมะนาวเป็นโรครากเน่า ขุดหรือถอนมะนาวต้นนั้นไปเผาทำลาย

3) โรคยางไหล

สาเหตุ เกิดจากเชื้อราหรือการขาดน้ำ ขาดธาตุอาหารบางชนิด มะนาวที่เป็นโรคนี้ จะมียางไหลออกมาตามรอยแตกของเปลือก ต้นจะทรุดโทรม กิ่งแห้ง และใบไม่สดใส

การป้องกันกำจัด ไม่ควรนำกิ่งพันธุ์ที่เป็นยางไหลมาปลูก ตัดแต่งกิ่งที่เป็นโร่คนี้ไปเผาทำลาย บำรุงตันมะนาวให้สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอและพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดโรค ได้แก่ ค็อปเปอร์อ๊อกซีคลอไรด์

แมลงศัตรูมะนาวที่สำคัญ

1) หนอนชอนใบ

สาเหตุ เกิดจากหนอนของผีเสื้อกลางคืนที่มาวางไข่ที่ใบอ่อนของมะนาว จากไข่ก็จะฟักเป็นตัวหนอนแล้วชอนไชกินน้ำเลี้ยงที่อยู่ระหว่างผิวใบทั้งด้านหน้าและหลังใบ สังเกตเห็นเป็นทางสีขาวคดเคี้ยวไปมา ทำให้ใบมะนาว หงิกงอและแห้งใบมะนาวจะไม่เจริญเติบโต ต้นแคระแกร็น

การป้องกันกำจัด ตัดแต่งยอดอ่อนหรือใบอ่อนที่มีแมลงทำลายไปเผาทำลาย ไม่ให้หนอนของผีเสื้อชนิดนี้แพร่กระจายมากขึ้น ในระยะที่มะนาวแตกใบอ่อนแต่ละครั้ง ควรมีการป้องกันกำจัดแมลงชนิดนี้อยู่เสมอ โดยใช้เชื้อราบิวเวอเรีย หรือสารเคมีซึ่งได้แก่ ไทอะมีโทแซม อะบาร์แม็กติน คาร์โบซัลแฟน

2) หนอนกินใบ (หนอนแก้ว)

สาเหตุ เกิดจากหนอนของผีเสื้อกลางวัน หนอนชนิดนี้จะกัดกินใบอ่อนของมะนาว ถ้าระบาดมากใบอ่อนของมะนาวจะถูกกัดกินเว้าแหว่งเหลือแต่ก้านใบ ใบจะหมดทั้งต้น ภายใน 2-3 วัน

การป้องกันกำจัด หมั่นตรวจดูใบและยอดอ่อนของมะนาวเมื่อพบไข่หรือตัวหนอนชนิดนี้ควรจับไปทำลาย และพ่นสารเคมีป้องกันกำจัด ได้แก่ สารคาร์บาริล อะบาร์แม็กติน คาร์โบซัลแฟน

3) เพลี้ยไฟ

สาเหตุ เกิดจากแมลงขนาดเล็ก ดูดกินน้ำเลี้ยงจากส่วนต่าง ๆ ของลำต้น โดยเฉพาะดอกมะนาวบริเวณขั้วดอก-ผล ทำให้มะนาวไม่ค่อยติดผล หรือทำให้ผลมะนาวมีผิวขรุขระไม่น่ารับประทาน

การป้องกันกำจัด มีการพ่นโดยใช้เชื้อราบิวเวอเรีย หรือสารเคมีป้องกันกำจัด ได้แก่ สารคาร์โบซัลแฟน

การบังคับให้มะนาวออกดอกนอกฤดู

การบังคับให้มะนาวออกดอกนอกฤดูสามารถกระทำได้หลายวิธี แต่วิธีที่จะทำให้ต้นมะนาวไม่โทรมเร็วเกินไปควรปฏิบัติดังนี้

  • เดือนกันยายน : ใส่ปุ๋ยเคมีที่มีอัตราส่วน 1:3:3 เช่นปุ๋ย สูตร 8:24:24 เพื่อบำรุงให้ใบแก่เร็วขึ้นและ เก็บอาหารไว้บำรุงดอกต่อไป
  • เดือนตุลาคม : งดการให้น้ำเพื่อให้ต้นมะนาวมีการสะสมอาหารจนเมื่อถึงปลายเดือนตุลาคมจึงค่อยให้น้ำเต็มที่
  • เดือนพฤศจิกายน : มะนาวเริ่มออกดอก ควรฉีดพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดแมลง ประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน ดอกจะเริ่มบาน และเริ่มติดผลควรป้องกันกำจัดแมลงในช่วงนี้ด้วย
  • เดือนธันวาคม : ใส่ปุ๋ยเคมีที่มีอัตราส่วน 1:1:1 เช่น ปุ๋ยสูตร 15:15:15 หรือ 16:16:16 เพื่อบำรุงต้นมะนาวให้สมบูรณ์
  • เดือนกุมภาพันธ์ เป็นต้นไป ผลมะนาวจะเริ่มโตพอที่จะเก็บเกี่ยวได้บ้าง ในระยะแรก จนกระทั่งกลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนเมษายน ผลมะนาวก็จะโตพอที่จะเก็บเกี่ยวได้ซึ่งจะตรงกับช่วงที่มะนาวมีราคาแพงพอดี หลังจากที่ได้ทำการเก็บเกี่ยวผลผลิตหมดแล้วประมาณเดือนพฤษภาคม ควรตัดแต่งกิ่ง ใส่ปุ๋ยคอก และปุ๋ยเคมีสูตร 15:15:15 เพื่อบำรุงต้นให้สมบูรณ์ และพร้อมสำหรับการผลิตมะนาวนอกฤดูในปีต่อไป

การเก็บเกี่ยว

การเก็บผลมะนาวโดยใช้มือบลิดควรเก็บในขณะที่ผลเริ่มแก่สังเกตจากด้านขั้วของผลเริ่มมีสีเหลืองเล็กน้อยผิวเปลือกจะเรียบบางใสมีสีเขียวอ่อนกว่าผลที่ยังไม่แก่ เมื่อบีบดูจะค่อนข้างนุ่มมือไม่ควรเก็บมะนาวที่แก่เกินไป เพราะเปลือกจะบางมากทำให้เกิดความเสียหายในการขนส่งได้ง่ายอีกทั้งเมื่อนำไปขายจะทำให้ขายได้ไม่นานผลเน่าเสียหายได้เร็ว

ที่มา : กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์


บทความที่น่าสนใจ

การเลี้ยงหมูหลุมแบบธรรมชาติ กลิ่นไม่เหม็น ต้นทุนต่ำ

การเลี้ยงหมูหลุมแบบธรรมชาติ กลิ่นไม่เหม็น ต้นทุนต่ำ

การเลี้ยงหมูหลุมแบบธรรมชาติ

การเลี้ยงหมูหลุมแบบธรรมชาติ


“หมูหลุม” เป็นภาษาชาวบ้านที่เรียก การเลี้ยงหมูหลุมแบบธรรมชาติ โดยมีวัสดุรองพื้นหลุม ดั้งเดิมมาจากประเทศเกาหลี มีแนวคิดตามหลักการของ “เกษตรกรรมธรรมชาติ” ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของระบบเกษตรกรรมยั่งยืน เป็นการเกษตรที่ไม่เพียงแต่คำนึงถึงผลผลิตจากการเกษตรเท่านั้น แต่มีปรัชญาแนวคิดอยู่เบื้องหลังของการทำงาน เป็นการพัฒนารูปแบบการเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความเป็นองค์รวมของระบบนิเวศน์ด้านการเกษตร วงจรชีวภาพห่วงโซ่อาหาร ดิน พืชสัตว์ จุลินทรีย์ พลังธรรมชาติหมุนเวียนจากพลังงานแสงแดด และน้ำ นำมาเป็นปัจจัยในการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ที่เกื้อกูลซึ่งกันและกัน พืชที่ปลูกส่วนหนึ่งนำมาเลี้ยงสัตว์ สัตว์ถ่ายมูลออกมาก็นำปุ๋ยมูลสัตว์มาเพิ่มความอุดมสมบรูณ์ให้กับดินเพื่อการ ปลูกพืช รวมถึงด้านเศรษฐกิจและสังคมของท้องถิ่น และการพึ่งพาตนเองในด้านการผลิตและการบริโภคขนาดเล็กและขนาดกลาง ที่เหมาะสมกับทรัพยากร

ข้อดีของการเลี้ยงสุกรแบบธรรมชาติ (หมูหลุม)

1. สามารถใช้วัสดุต่าง ๆ ที่มีอยู่ตามธรรมชาติและในท้องถิ่น หาง่าย ราคาถูก
2. ไม่ก่อให้เกิดปัญหากับสิ่งแวดล้อม อันเนื่องมาจากมูลสุกรและน้ำเสีย
3. สามารถเลี้ยงในชุมชนได้ เนื่องจากไม่มีปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็นจากมูลสุกรและแมลงวัน
4. ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการล้างทำความสะอาดคอกและบำบัดน้ำเสีย
5. มีระบบการหมุนเวียนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในคอกหรือหลุมสุกร
6. มูลสุกรและวัสดุในหลุมซึ่งถูกหมักและย่อยสลายโดยจุลินทรีย์กลายเป็นปุ๋ยหมักอย่างดีนำไปเป็นปุ๋ยให้กับพืช ปรับปรุงดินบำรุงดิน หรือจำหน่าย
7. ต้นทุนการผลิตต่ำโดยเฉพาะต้นทุนด้านอาหารสามารถลดได้ไม่ต่ำกว่า 70 เปอร์เซ็นต์
8. หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีหรือยาปฏิชีวนะ ทำให้ผลผลิตมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค
9. เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของการทำเกษตรแบบเศรษฐกิจพอเพียงและระบบเกษตรอินทรีย์

การสร้างโรงเรือน

พื้นที่ใช้ในการสร้างโรงเรือน ควรเป็นที่สูง น้ำท่วมไม่ถึงสร้างโรงเรือนตามแนวทิศตะวันออก และทิศตะวันตก วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง ควรเป็นวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น เช่น โกรงหลังาทำด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยหญ้าคา หรือหญ้าแฝก ใบจาก

การเตรียมคอก

ขนาดคอกกว้าง 1.5 x 2 เมตร สามารถเลี้ยงหมูได้ 2 ตัว เริ่มด้วยการขุดพื้นคอกลึกลงไป 90 ซม. (หรือขุดเพียง 45 ซม.แล้วเอาดินที่ขุดขึ้นมานั้นถมค้านข้างก็จะได้ความลึก 90 ซม.) ในการมุงหลังกากวรให้ชายคากว้างกันไม่ให้น้ำฝนสาดเข้ามาในคอกและเมื่อตีฝาคอกแล้วควรใช้อิฐบล็อกหรือไม้ไผ่กั้นรอบๆ คอกลึกลงไปจากพื้นดิน 40-50 ซม.เพื่อกันไม่ให้หมูขุดออกนอกคอก สิ่งที่ต้องคำนึงคือ บริเวณที่จะทำการสร้างคอกไม่ควรเป็นพื้นที่ต่ำน้ำท่วมขังและควรเป็นที่ร่มใต้ต้นไม้อากาศถ่ายเทได้ดี

การเตรียมวัสดุพื้นคอก

เมื่อขุดหลุมเสร็จ ปูพื้นคอกโดยใช้แกลบ 10 ส่วนผสมดินละเอียด เ ส่วน เทลงกันหลุมที่ขุดไว้ให้มีความหนา 30 ซม.แล้วใช้เกลือเม็ด 1ถ้ยตราไก่หรือประมาณรึ่งลิตรโรยหน้าแล้วใช้น้ำหมักชีวภาพ 2 ช้อนแกงผสมน้ำ 1 บัว (10 ลิตร) ราดให้ทั่ว ทำเหมือนเดิมอีก 2 ชั้น จนเท่าระดับพื้นดิน ทิ้งไว้ประมาณ 10 วัน จึงนำหมูเข้าอยู่และควรราดน้ำหมักชีวภาพลงบนพื้นคอกเพิ่มเติมทุกๆ 5-7 วัน ครั้งละ 1 บัว ภายหลังการเริ่มเลี้ยงแล้วเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการช่อยสลายสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ

การเลี้ยงหมูหลุมแบบธรรมชาติ

ในกรณีที่ไม่สามารถหาแกลบได้อย่างเพียงพอที่จะเติมจนครบสามชั้น สามารถเติมเพียงชั้นเดียวก่อนแล้วนำหมูลงไปเลี้ยงระยะหนึ่งแล้วค่อยๆ เติมจนครบสามชั้นในภายหลัง หรือไม่ก็ใช้วัสดุอื่น เช่น ฟางข้าว หรือ ขี้เลื่อย มารองใส่ชั้นล่างสุดแทนแกลบก็ได้

การให้อาหาร

ลูกหมูที่นำมาเลี้ยงควรมีน้ำหนัก 15 – 20 กก. ในช่วงเดือนแรก ควรให้อาหารสำหรับหมูเล็ก โดยผสมรำอ่อน ปลายข้าว กากถั่วเหลือง ปลาน หรือใช้น้ำหอยเชอรี่หมักแทนปลาปน จนน้ำหนักหมูได้ 30 กก.ขึ้นไป อาหารหมูได้แก่ เสษอาหารเหลือทิ้งจากมนุษย์เศษพืชต่างๆ หญ้าสด หญ้าหมัก ฟางข้าว ดิน ใบไม้ผุ จุลินทรีย์ท้องถิ่น น้ำหมักจากพืชสีเขียว และแบคที่เรียกลุ่มแลคติก จะใช้อาหารสำเร็จรูปเพื่อใช้ผสมร่วมกับอาหารที่ทำขึ้นเองบางส่วนเท่านั้น ให้พืชสด ใส่ให้กินในคอกเลย เศษซากพืชบางชนิดต้องหมักก่อนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการย่อยก่อน

ตัวอย่างสูตรอาหาร

สูตร 1

  • หยวกกล้วย + มะละกอดิบ + ผักบุ้ง + เถามันเทศ + เศษผักหรือวัชพืช สับให้ละเอียด  100 กก.
  • น้ำตาลทรายแดง 4  กิโลกรัม
  • เกลือ 1  กิโลกรัม
  • หมักทิ้งไว้ 5 ถึง 7 วัน
  • ผสมหัวอาหาร  3  กิโลกรัม
  • สามารถเติมน้ำหมักแบคทีเรียแลคติก

สูตร 2

  • หยวกกล้วย เศษผัก ฯลฯ สับให้เป็นชิ้นเล็กๆ  25  กิโลกรัม
  • น้ำใส่ถังแล้วโรยด้วยเกลือแกง  200  กรัม
  • ผสมน้ำหมักชีวภาพ,หัวเชื้อจุลินทรีย์/EM 2 ฝา
  • น้ำตาลทรายแดงกากน้ำตาล 1 กิโลกรัม (เทผสมแล้วปีดฝาทิ้งไว้ 5 – 7 วัน สามารถเก็บได้นาน 30 วัน)

ตัวอย่างสูตรอาหารข้น 

สูตร 1

  • หินฝุ่น  1.5  กิโลกรัม
  • เกลือแกง  0.35  กิโลกรัม
  • พรีมิกซ์  0.25  กิโลกรัม
  • ไดแคลเซี่ยมฟอสเฟต  0.5  กิโลกรัม
  • ปลาป่น  1  กิโลกรัม

(ผสมส่วนที่ 1- 5 ให้เข้ากัน)

  • ข้าวโพดบด  60  กิโลกรัม
  • กากถั่วเหลือง  14  กิโลกรัม
  • รำละเอียด  23  กิโลกรัม

โดยให้อาหารหมัก 70 % ผสมอาหารข้น 30 % เช้า – เย็น

  • โดยหมูน้ำหนัก 30 – 60 กก. ใช้อาหารผสม 1 ส่วน ผสมน้ำหมัก 1 ส่วนให้กิน 2 – 3  กิโลกรัม ต่อวัน
  • หมูน้ำหนัก 60 กก.  ขึ้นไป ใช้อาหารผสม 1 ส่วน ผสมน้ำหมัก 1 ส่วน ให้กิน 4- 6  กิโลกรัม ต่อวัน

การให้อาหารและน้ำ

ให้อาหารผสมหรืออาหารสำเร็จเพียงร้อยละ 30 เช่น เคยให้ตัวละ 2 กก. ต่อวันก็จะต้องเหลือแค่ตัวละ  6  ขีดต่อวัน ( หรืออาหารสำเร็จ 150 กรัม หรือ 1.5 ขีด สามารถทดแทนด้วยผัก 1 กก.)  ส่วนอาหารที่จะให้หมูกินเป็นหลักคือ ผักที่มีอยู่ตามธรรมชาติทั่วไป เช่น หยวกกล้วย ผักโขม ผักตบชวา ยอดกระถินโดยนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วแช่ในน้ำที่ผสมน้ำหมักชีวภาพไว้นานประมาณ 3-4 ชั่วโมง ซึ่งใช้สูตรเดียวกับน้ำที่ให้หมูกินคือ ผสมน้ำหมักชีวภาพกับน้ำ ในอัตราส่วนตั้งแต่ 1 ต่อ 1,000 สำหรับหมูเด็ก (หมูหย่านม – 30 กก)  1 ต่อ 800 สำหรับหมูรุ่น ( น้ำหนัก30 – 60 กก) 1 ต่อ 500 สำหรับหมูใหญ่หรือหมูพ่อ-แม่พันธุ์ ( น้ำ 1 ปี๊บ มี 20 ลิตร หากเป็นหมูเล็กผสมแค่ 2 ช้อนโต๊ะ ,หมูรุ่น ผสม 3 ช้อนโต๊ะ,หมูใหญ่ ผสม 4 ช้อนโต๊ะ)

การดูแลสุขภาพ

แนวคิดการจัดการด้านสุขภาพสัตว์ของการเลี้ยงหมูในรูปแบบนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่าทำอย่างไรให้มีเชื้อโรคปราศจากเชื้อโรค แต่อยู่ที่ว่าทำอย่างไรให้ตัวหมูซึ่งในทางวิทยาการระบาดถือเป็น โฮสต์ (Host) กับเชื้อโรค (Agent) และสิ่งแวดล้อม (Environment) อยู่ในสภาวะสมดุลข์ ซึ่งก็จะทำให้หมูไม่เป็นโรคโดยให้หมูได้อยู่อย่างสบายตามธรรมชาติซึ่งจะทำให้หมูสุขภาพดีและมีภูมิต้านทานโรคตามธรรมชาติ

อย่างไรก็ตาม เราควรเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคที่มีความเสี่ยง เช่น อหิวาตัสุกร โดยการทำวัคซีนก่อนนำหมูเข้าขุน ถ่ายพยาธิโดยใช้ยาถ่ายพยาธิที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไป หากเกิดเจ็บป้วยก็ทำการรักษา เราสามารถนำสมุนไพรมาใช้ทดแทนยาแผนปัจจุบันได้ แต่ต้องทำใจไว้ก่อนว่าผลการรักษาคงไม่เห็นทันตาเท่ากับยาแผนปัจจุบัน


บทความที่น่าสนใจ

แนวทาง การเลี้ยงจิ้งหรีด สำหรับมือใหม่

แนวทาง การเลี้ยงจิ้งหรีด สำหรับมือใหม่

การเลี้ยงจิ้งหรีด

การเลี้ยงจิ้งหรีด


จิ้งหรีด (Cricket) อยู่โนวงศ์ Gylidae เป็นแมลงที่มีลักษณะปากแบบปากกัด มีตารวม หนวดยาว ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี และกินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์ ขยายพันธุ์ได้เร็ว มีขาคู่หลังขนาดใหญ่ แข็งแรง กระโดดเก่ง ตัวเมียวางไข่ใต้ดินลึกประมาณ 1 – 2 เชนติเมตร ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะหลบช่อนตัวตามสนามหญ้าอยู่ในรูเก่าของแมลงอื่น รอยแตกของดินหรือตามกองวัสดุทั่วไป

สายพันธุ์จิ้งหรีด

พันธุ์ของจิ้งหรีดมีชื่อเรียกแตกต่างกันหลายชนิดตามภาษาท้องถิ่น เช่น จิ้งโกร่ง (จิโปม จิ้งกุ่ง) จิ้งหรีดทองดำ จิ้งหรีดทองแดง จิ้งหรีดทองแดงลาย (สะดิ้ง)

วงจรชีวิตของจิ้งหรีด….แบ่งเป็น 3 ระยะ

  • ระยะไข่ ไข่จิ้งหรีดจะมีสีเหลือง ลักษณะยาวเรียวคล้ายเมล็ดข้าวสารยาวประมาณ 1.5 มิลลิเมตร เพศเมียหนึ่งตัวสามารถวางไข่ได้ประมาณ 800 – 1,200 ฟองต่อครั้งหรือต่อรุ่น และวางไข่ได้ประมาณ 4 รุ่น
  • ระยะตัวอ่อน ตัวอ่อนที่ฟักออกมาใหม่ๆ จะคล้ายมด เมื่อโตขึ้นเริ่มมีปีก จะลอกคราบประมาณ 8 ครั้ง จึงเจริญเป็นตัวเต็มวัย โดยระยะเวลาจะขึ้นกับพันธุ์จิ้งหรีด
  • ระยะเต็มวัย สามารถแยกเพศได้ชัดเจนเพศผู้มีปีกคู่หน้าย่น โดยใช้ปีกคู่หน้าสีให้เกิดเสียง เพศเมียมีอวัยวะวางไข่ คล้ายเข็มยื่นจากส่วนท้อง จิ้งหรีดตัวเต็มวัยมีอายุเฉลี่ยประมาณ 45-60 วัน

การผสมพันธุ์ของจิ้งหรีด

จะผสมพันธุ์เมื่อลอกคราบเป็นตัวเต็มวัยประมาณ 3-4 วัน มีเวลาผสมประมาณ 10-15 นาที โดยการผสมพันธุ์และวางไข่จะใช้เวลาประมาณ 15 วันต่อครั้งต่อรุ่น เมื่อหมดอายุรุ่นสุดท้ายจิ้งหรีดตัวเมียก็จะตาย

การเตรียมการ ก่อนเลี้ยงจิ้งหรีด

1. การเตรียมโรงเรือน

  • ก่อนเริ่มการเลี้ยงครั้งแรก ทำการฉีดล้างทำความสะอาดโรงเรือน แล้วทิ้งไว้จนแห้ง
  • ทำความสะอาดและตัดหญ้ารอบบริเวณโรงเรือนให้โล่งเตียนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อทำลายแห่งอาศัยของศัตรู และป้องกันไม่ให้ศัตรูสามารถหลบซ่อนบริเวณนั้นได้

2. การเตรียมบ่อเลี้ยง

  • บ่อเลี้ยงทำจากแผ่นสมาร์ทบอร์ดประกอบกัน โดยใช้ไม้เป็นโครงขนาดบ่อเลี้ยงกว้าง 1.2 เมตร ยาว 2.4 เมตร ตัวบ่อสูง 60 เชนติเมตร ขาตั้งสูงจากพื้น 20 เซนติเมตร วางบ่อเลี้ยงเป็นแถวตามลักษณะของโรงเรือน โดยเว้นระยะห่างให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างสะดวก จำนวนที่วางมีความเหมาะสมกับขนาดของพื้นที่โรงเรือน บ่อเลี้ยงอาจใช้วัสดุอื่นๆ ก็ได้ เช่น ท่อซีเมนต์, ฟิวเจอร์บอร์ดและอื่นๆ ตามความเหมาะสม
  • ภายในบ่อเลี้ยงติดเทปกาวรอบขอบบ่อเลี้ยงด้านใน เพื่อป้องกันไม่ให้จิ้งหรีดต่ออกมา วางเรียงแผงไข่แนวตั้งให้มีช่องว่างระหว่างแผงให้อากาศสามารถถ่ายเท เรียงเป็นแนวชิดกับผนังบ่อเลี้ยงจนเต็มโดยเว้นพื้นที่ตรงกลางบ่อเลี้ยงไว้ นำถาดอาหารและถาดน้ำวางด้านบนแผงไข่ที่เรียงไว้
  • การป้องกันศัตรูที่อาจเข้าไปภายในบ่อเลี้ยง โดยใส่ที่รองขาตู้แล้วเติมน้ำมันเครื่องเก่า ส่วนด้านบนบ่อเลี้ยงคลุมด้วยตาข่าย ติดตัวล๊อคให้แน่น

3.วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการเลี้ยงจิ้งหรีด

  • ภาชนะที่ใช้เลี้ยงจิ้งหรีด เช่น วงบ่อ กะละมัง และถังน้ำ ต้องมีฝาปิดเป็นตาข่ายตาละเอียด เพื่อป้องกันศัตรูเข้าทำลายและป้องกันจิ้งหรีดขึ้นจากบ่อเลี้ยง
  • อาหารหลัก ได้แก่พืช เช่น ผักบุ้ง ฟักทอง ตำลึง และหยวกกล้วย อาหารเสริม เช่น รำอ่อน อาหารไก่ และอาหารหมู
  • ถาดอาหาร และแกลบดำ สำหรับให้จิ้งหรีดวางไข่
  • ถาดไข่แบบกระดาษ หญ้าแห้ง หรือกาบมะพร้าว

การเตรียมพ่อ-แม่พันธุ์จิ้งหรีด

  • คัดเลือกพ่อ – แม่พันธุ์ ที่มีสีเข้ม ตัวโต แข็งแรง มีอวัยวะสมบูรณ์ครบทุกส่วน
  • ใช้พ่อ-แม่พันธุ์ ในอัตราส่วน (พ่อพันธุ์ 1 ตัว ต่อแม่พันธุ์ 3 ตัว)

การเลี้ยงจิ้งหรีด

การเลี้ยงจิ้งหรีด

  • การเลี้ยงแบบคละรุ่น ปล่อยพ่อ-แม่พันธุ์จิ้งหรีด ในอัตราส่วน 1 : 3 ใส่ดินร่วนปนทราย์หรือแกลบเผาลงในขันไข่ เมื่อจิ้งหรีดผสมพันธุ์จะเริ่มวางไข่ หลังครบ 7-10 วัน จะออกเป็นตัวอ่อน จากนั้นวางขันไข่เพิ่ม จิ้งหรีดจะเพิ่มจำนวนจนถึง 4 รุ่น จึงเริ่มทยอยจับจำหน่ายได้ แต่จะประสบปัญหาด้านการจัดการและการเก็บผลผลิตในหลายรุ่น
  • การเลี้ยงแบบแยกรุ่น ปล่อยพ่อ-แม่พันธุ์ลงเลี้ยง ในอัตรา 3: 9 ใส่ดินร่วนปนทรายหรือแกลบเผาลงในข้นไข่ จิ้งหรีดผสมพันธุ์จะเริ่มวางไข่ หลังครบ 15 ชั่วโมง นำขันไข่ออกไปเลี้ยงในบ่อใหม่ เมื่อจิ้งหรีดโตจะได้ปริมาณผลผลิตที่สม่ำเสมอง่ายต่อการจัดการ

การจัดการจิ้งหรีด

การจัดการสุขลักษณะของจิ้งหรีด เน้นเรื่องความสะอาด การทำความสะอาดบ่อ การตากบ่อก่อนการเลี้ยงรุ่นต่อไป และการเลี้ยงอย่างเป็นระบบดังต่อไปนี้

  • บริเวณปากบ่อด้านบนติดด้วยแผ่นพลาสติกหรือเทปกาวใส กว้างประมาณ 3 นิ้ว เพื่อป้องกันจิ้งหรีดไต่ออก ใส่ถาดไข่แบบกระดาษ หรือกาบมะพร้าวตรงกลางบ่อหรือริมบ่อ เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยและหลบซ่อน
  • การนำจิ้งหรีดลงบ่อเลี้ยง เมื่อไข่จิ้งหรีดมีอายุใกล้เคียงกำหนดการฟักตัวประมาณ 1 -2 วัน จะทำการย้ายไข่จิ้งหรีดจากกล่องฟักไข่ มาวางเรียงไว้ในบ่อเลี้ยงที่เตรียมไว้ เมื่อจิ้งหรีดฟักตัวออกมาแล้ว จากนั้นจึงทำการให้อาหารและน้ำ
  • การเตรียมภาชนะให้จิ้งหรีดวางไข่ และการเก็บไข่
    • นำวัสดุสำหรับรองไข่ คือ แกลบดำ บรรจุถุงแล้วมัด จากนั้นไปตากแดด 1-2 แดด
    • นำแกลบดำที่ทำการตากแดดแล้ว เทใส่ถังพลาสติกทิ้งไว้ให้เย็น
    • เติมน้ำสะอาดลงไปในอัตราส่วน แกลบดำ 1 ส่วน ต่อน้ำ 12 ส่วน ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน เมื่อลองปั้น พบว่าแกลบดำจับตัวเป็นก้อนแต่ไม่มีน้ำไหลออกมา นำแกลบดำใส่ในขันพลาสติกหรือถาดพลาสติก จากนั้นนำไปว่างเรียงไว้ในบ่อเลี้ยงที่จิ้งหรีดมีความพร้อมที่จะวางไข่
    • วางขันในบ่อเลี้ยงให้จิ้งหรีดมีเวลาวางไข่ 12-15 ชั่วโมง จากนั้นยกออกมาแล้วคลุมด้วยถุงกระสอบหรือผ้า แล้วนำไปพักไว้ในกล่องสำหรับฟักไข่

การป้องกันกำจัดศัตรูจิ้งหรีด

  • แมลงศัตรู ได้แก่ มด จิ้งจก ตุ๊กแก หนู แมงมุม ไร ซึ่งมักติดมากับอาหาร ควรทำความสะอาดพืชอาหารก่อนนำมาเลี้ยงเลี้ยง
  • โรคที่สำคัญ ได้แก่ โรคระบบทางเดินอาหาร ที่เกิดจากอาหารไม่สะอาดปนเปื้อนเชื้อรา วิธีการป้องกัน คือให้อาหารเพียงพอกับความต้องการของจิ้งหรีด ทำความสะอาดถาดอาหาร และน้ำทุกครั้งที่เปลี่ยนอาหาร พื้นบ่อเลี้ยงอย่าให้ชื้นแฉะ ควรทำความสะอาดบ่อ และตากบ่อก่อนการเลี้ยงจิ้งหรีดรุ่นใหม่ ทุกครั้ง

การเก็บผลผลิตจิ้งหรีด

  • ตัวจิ้งหรีด ก่อนการนำจิ้งหรีดไปจำหน่ายหรือบริโภค ควรงดอาหารเสริมประมาณ 3 วัน แล้วทดแทนด้วย ฟักทอง กล้วย หรือพืชอื่นๆ เพื่อไมให้จิ้งหรีดมีกลิ่นตัว หลังจากนั้นจึงสามารถเก็บผลผลิตได้
  • ไข่จิ้งหรีด นำกระบะหรือขันพลาสติก โดยนำแกลบดำหรือขุยมะพร้าวใส่ลงไปและนำไปใส่ในบ่อเลี้ยงเพื่อรองไขจิ้งหรีดไปเลี้ยงรุ่นต่อไปหรือจำหน่ายโดยช่วงฤดูหนาวควรบ่มไข่จิ้งหรีด เพื่อให้จิ้งหรีดออกตามปกติ
  • มูลจิ้งหรีด สามารถนำไปทำปุ้ยปลูกพืชได้

การปฏิบัติหลังเก็บผลผลิต

  • ควรทำความสะอาดบ่อ และตากบ่อทุกครั้งก่อนการเลี้ยงจิ้งหรีดรุ่นถัดไป ควรเดาะมูลจิ้งหรีดในถาดไข่เก่าออกให้สะอาด เพื่อเป็นที่หลบซ่อนตัวของจิ้งหรีดรุ่นถัดไป และนำมูลที่ได้ไปใส่ต้นไม้
  • ควรเปลี่ยนสายพันธุ์พ่อ-แม่ จิ้งหรีด ประมาณ 1-3 รุ่น โดยหาพันธุ์จากธรรมชาติผสมข้ามบ่อเลี้ยง หรือแลกเปลี่ยนระหว่างผู้เลี้ยง เพื่อป้องกันเลือดชิดตัวจิ้งหรีดมีขนาดเล็กลง อ่อนแอไม่ทนต่อโรค การวางไข่และผลผลิตลดลง

อ้างอิงจากแหล่งข้อมูล |

  • ศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตร ด้านแมลงเศรษฐกิจ จังหวัดชุมพร
  • สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 5 จังหวัดสงขลา
  • กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • 22/1 ม. 6 ต. ขุนกระทิง อ. เมือง จ.ชุมพรโทรศัพท์ 077-658669 โทรสาร 077-574520 Website : www.aopdb03.doae.go.th E-mail : aopdb03@doae.go.th

บทความที่น่าสนใจ