ปลูกมะละกอพันธุ์ปากช่อง 1 อร่อยถูกใจ รสชาติดี

มะละกอเป็นไม้ผลที่คนไทยนิยมบริโภคทั้งผลดิบและผลสุก มะละกอใช้ประโยชน์ทางด้านอุตสาหกรรมได้หลายอย่าง เช่น เนื้อมะละกอดิบสามารถนำไปทำมะละกอแช่อิ่ม ดองเค็ม ผลมะละกอสุกใช้แปรรูปเป็นน้ำผลไม้ ซอส ผลไม้กระป๋อง แยม ลูกกวาดและมะละกอผง เปลือกมะละกอใช้เป็นอาหารสัตว์ สีผสมอาหาร ยางมะละกอใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเบียร์ ผลิตน้ำปลา อาหารกระป๋อง อุตสาหกรรมเคมีและเครื่องสำอางเป็นต้น
คนไทยและคนต่างชาตินิยมรับประทานมะละกอสุก แต่มีความชอบแตกต่างกัน ในต่างประเทศนิยมบริโภค มะละกอพันธุ์ที่มีผลขนาดเล็ก น้ำหนักผลไม่เกิน 600 กรัม ในขณะที่มะละกอพันธุ์ที่ประเทศไทยปลูกส่วนใหญ่มีผลขนาดใหญ่ จึงไม่เป็นที่นิยมของตลาดต่างประเทศ ทำให้มะละกอของไทยยังมีปริมาณการผลิตเพื่อการส่งออกโดยตรงมีน้อย
ลักษณะภายในของผลมะละกอพันธุ์ปากช่อง 1
แปลงปลูกมะละกอพันธุ์ปากช่อง 1 ที่สถานีวิจัยปากช่อง มะละกอไม่เหมาะที่จะหยอดเมล็ดลงแปลงปลูกโดยตรง เนื่องจากเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาในขั้นแรกมาก เพราะพื้นที่กว้างขวางและต้นกล้าที่งอกใหม่ๆ ต้องการเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิด ดังนั้น การเตรียมต้นกล้ามะละกอให้แข็งแรงก่อนแล้วจึงย้ายปลูกลงแปลงปลูก จึงเป็นวิธีที่เหมาะสมกว่าการหยอดเมล็ดลงแปลงปลูกโดยตรง การเตรียมต้นกล้ามะละกออาจใช้วิธีต่าง ๆ ได้ 2 แบบ คือ
- เพาะเมล็ดลงถุง
- เพาะเมล็ดลงแปลงเพาะ แล้วย้ายลงถุง
โรงเรือนเพาะต้นกล้า
1. การเพาะเมล็ดลงถุง
การเพาะเมล็ดลงถุงโดยตรงนั้น เป็นวิธีที่สะดวก เตรียมดินผสมที่จะใช้เพาะเมล็ดให้ร่วนโปร่ง โดยผสมดิน 3 ส่วน ปุ๋ยคอก 1 ส่วน และอินทรีย์วัตถุ 1 ส่วน คลุกเคล้าให้เข้ากัน ปุ๋ยคอกนั้นควรเป็นปุ๋ยคอกเก่าที่สลายตัวแล้ว และไม่ร้อน ส่วนอินทรีย์วัตถุอาจเป็นเศษหญ้าสับ แกลบหรือถ่านหรือเปลือกถั่วก็ได้ แล้วแต่จะหาอะไรได้ในท้องถิ่น นำดินที่ผสมแล้วใส่ถุงขนาด 5 x 8 นิ้ว ที่เจาะรูระบายนํ้าเรียบร้อยแล้วประมาณ 4 รู ตั้งเรียงไว้กลางแจ้งในบริเวณที่สามารถให้นํ้าได้อย่างสมํ่าเสมอทุกวัน

หลังจากนั้นฝังเมล็ดมะละกอลงไปใต้ดินให้ลึกประมาณครึ่งเซนติเมตร ถุงละ 3 เมล็ด รดนํ้าให้ชุ่มทุกเช้าเย็น เมล็ดจะเริ่มงอกภายใน10-14 วัน หลังปลูก เมื่อต้นมะละกอมีใบจริง 2-3 ใบ ให้เลือกกล้าต้นที่แข็งแรงเอาไว้ถอนต้นที่อ่อนแอออกในการเพาะเมล็ดนี้ ควรฉีดพ่นยาป้องกันกำ จัดราพวกแมนโคเซบผสมยาป้องกันแมลงประเภทโมโนโครโตฟอสและยาจับใบฉีดครั้งแรกเมื่อต้นกล้าเริ่มงอกและหลังจากนั้นฉีดทุก ๆ 10 วัน จนกว่าจะย้ายกล้าลงแปลงปลูก
ซึ่งจะสามารถย้ายกล้าปลูกเมื่อเพาะเมล็ดได้ 45-60 วันถอนแยกต้นกล้าในถุงให้เหลือต้นที่แข็งแรงเพียงต้นเดียวหลังจากถอนแยกต้นกล้าเหลือต้นเดียวแล้ว อาจสามารถเร่งให้ต้นกล้าเจริญเติบโตได้เร็วขึ้นโดยให้ปุ๋ยสูตร 21-21-21 ที่มีธาตุอาหารรองผสมอยู่ด้วย โดยใช้ปุ๋ยอัตรา 2 ช้อนแกงต่อนํ้า 20 ลิตร และผสมยาจับใบฉีดพ่นทุกๆ 7 วัน
2. การเพาะเมล็ดลงแปลงเพาะหรือกะบะเพาะแล้วย้ายลงถุง
เตรียมแปลงเพาะกว้างประมาณ 1 เมตร ยาวประมาณ 3-5 เมตร ให้ความยาวแปลงอยู่ในแนวทิศเหนือใต้ ย่อยดินให้ละเอียดและผสมปุ๋ยคอกประมาณตารางเมตรละ 2กิโลกรัม คลุกเคล้าปุ๋ยคอกกับดินที่ย่อยแล้วให้เข้ากัน แล้วยกเป็นรูปแปลงสูงจากระดับดินเดิม 15 ซม. แล้วใช้ไม้ขีดทำร่องแถวตามความกว้างของแปลงลึกประมาณ 1 ซม. ให้แถวห่างกัน 25 ซม. จากนั้นโรยเมล็ดมะละกอลงในร่องแถวให้ห่างกันพอประมาณจนตลอดแปลง
หลังจากนั้นจึงรดนํ้าให้ชุ่ม ผสมด้วยยาฆ่าแมลงเพื่อกันมดคาบเมล็ดไป อาจใช้เซฟวิน85 หรือ S-85 ก็ได้ และรดนํ้าให้ชุ่มทุกวันเช้า-เย็น-เมื่อต้นกล้ามีใบจริงได้ 2-3 ใบ หรือประมาณ 21-25 วัน หลังจากเพาะให้ย้ายกล้าลงถุงพลาสติกขนาด 5 x 8 นิ้ว ถุงละ 1 ต้นตั้งเรียงไว้ในที่ร่มมีแสง 50% ฉีดยาพ่นป้องกันโรคแมลง และให้ปุ๋ยเช่นเดียวกับการเพาะเมล็ดลงถุงโดยตรง
แปลงเพาะเมล็ด
การเพาะเมล็ดลงกะบะพลาสติก ก็ปฏิบัติคล้ายๆกัน โดยเอากระดาษหนังสือพิมพ์รองก้นตะกร้าพลาสติก แล้วใส่ดินผสมเช่นเดียวกับที่เตรียมสำ หรับเพาะในถุงลงไปเกลี่ยผิวหน้าดินให้เรียบ ทำร่องแถวเพาะห่างกันประมาณ 10 ซม. แล้วนำ เมล็ดมะละกอหยอดลงไป รดนํ้าซึ่งผสมยากันมดให้ชุ่ม รดนํ้าให้ชุ่มทุกวันเช้า-เย็น เมื่อกล้ามีใบจริงแล้วจึงย้ายลงถุงต่อไป และเมื่อต้นกล้าในถุงแข็งแรงดีแล้ว จึงนำไปปลูกได้
ระยะเวลาตั้งแต่เพาะเมล็ดจนถึงย้ายกล้าลงปลูกในแปลงได้ใช้เวลาประมาณ 45-60 วัน ระยะเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำ หรับการเพาะกล้ามะละกออยู่ในช่วงกลางเดือน มกราคม สามารถย้ายกล้าปลูกได้ในราวกลางเดือนมีนาคมและจะเริ่มเก็บผลได้ตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป ซึ่งจะมีผลไม้ชนิดอื่น ๆ ในท้องตลาดออกน้อยทำให้จำ หน่ายได้ราคาสูง
มะละกอ เป็นไม้ผลที่ชอบดินร่วนปนดินทราย ดินเหนียวปนดินร่วน หรือดินร่วนที่มีการระบายนํ้าดี มีอินทรีย์วัตถุมากไม่ชอบนํ้าขัง และควรมีหน้าดินลึกไม่น้อยกว่า 1 เมตร มะละกอไม่ทนดินเกลือและไม่ทนลม แหล่งปลูกจึงควรหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีลมแรง ถ้าหลีกเลี่ยงในการเลือกพื้นที่ที่มีลมแรงไม่ได้ควรทำ แนวไม้กันลมโดยรอบด้วยมะละกอจะเจริญเติบโตได้ดี ถ้าได้รับแสงแดดเต็มที่ มะละกอมีก้านใบยาวและกลุ่มใบจะมีมากที่ยอด
จึงไม่ควรปลูกมะละกอให้ชิดกันเกินไป จะทำให้ไม่สะดวกในการป้องกันกำจัดศัตรูของมะละกอระยะปลูกที่เหมาะสมคือ 4 x 3 เมตร หรือ 3 x 3 เมตร หรือ 2.5 x 3 เมตร แหล่งปลูกมะละกอควรอยู่ใกล้เมืองหรือมีทางคมนาคมสะดวก เนื่องจากผิวมะละกอบาง ทำให้เกิดการชอกชํ้าในการขนส่งได้ง่ายกว่าผลไม้ชนิดอื่น ๆ
โรคและศัตรู
เพลี้ยไฟ
เพลี้ยไฟเป็นแมลงขนาดเล็กมาก มี 6 ขา มีลำ ตัวแคบยาวสีเหลืองซีด เมื่อโตเต็มที่มีปีกยาวบนหลังจึงบิดได้และปลิวไปตามลมได้ด้วย มักพบระบาดในช่วงปลายฤดูฝนถึงต้นฤดูแล้ง อาการที่พบใต้ผิวใบจะแห้งเหี่ยว โดยเฉพาะเส้นกลางใบหรือขอบใบแห้งเป็นสีนํ้าตาลถ้าเป็นกับผลทำให้ผลกร้านเป็นสีนํ้าตาล ในฤดูฝนจะไม่ค่อยพบ ถ้าพบอาจใช้นํ้าฉีดพ่นแรงๆ ให้หล่นไป หรือใช้ยาฆ่าแมลงพวกไดเมชโซเอท หรือโมโนโครดตฟอส ฉีดพ่น 2-3 ครั้งทุก 5-7 วัน
ไรแดง
เป็นสัตว์ขนาดเล็กมี 8 ขา จะทำ ให้ผิวใบจะไม่เขียวปกติเกิดเป็นฝ้าด่าง ถ้าดูใกล้ๆจะพบตัวไรสีคลํ้าๆ อยู่เป็นจำนวนมาก เดินกระจายไม่ว่องไว หรืออาจเห็นคราบไรสีขาวกระจายอยู่ทั่วไป แมลงศัตรูธรรมชาติคือด้วยเต่าเล็ก ตัวดำ ลำตัวรี ตัวอ่อนด้วงเต่าก็กินไรได้ดีลักษณะของใบมะละกอที่ถูกไรแดงทำลายถ้ามีไรระบาดมากให้ใช้ยากำ จัดไรพวกไดโดโฟล เช่น เคอเรน ไดโคล ฯลฯ ในอัตรา30-40 ซีซี ผสมนํ้า 20 ลิตร ฉีดพ่น
แมลงวันทอง
แมลงวันทองเป็นแมลงที่ทำลายผลไม้หลายชนิด โดยจะวางไข่ที่ผลขณะแก่ ทำให้หนอนที่ฟักเป็นตัวทำลายเนื้อของผลเสียหาย เมื่ออยู่บนต้นหรือในขณะบ่มผลแมลงวันทองจะระบาดในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่ดินชื้นตัวเต็มวัยจะขึ้นจากดินมาผสมพันธุ์กัน และวางไข่ได้หลายจิด ช่วงที่ทำความเสียหายให้กับเกษตรกรมากที่สุดคือ ระยะที่เป็นตัวหนอน มักจะพบในมะละกอสุกทำ ให้ผู้บริโภคเสียความรู้สึกในการรับประทาน
การป้องกัน
เก็บผลมีสีเหลืองที่ผิว 5% ของพื้นที่ผิวผล ไม่ปล่อยให้สุกคาต้นร่วมกับการใช้มาลาไธออนฉีดพ่นทำ ลายตัวเต็มวัย และล่อตัวผู้ด้วยเมธธิลยูจีนอล ผสมยาฆ่าแมลงพวกมาลาไธออน อัตรา 1:1 หรือห่อผลด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ หรือเก็บผลที่เน่าเสีย เนื่องจากแมลงและโรคออกจากแปลงปลูกฝังดินลึกๆ หรือเผาไฟ
เพลี้ยอ่อน
เพลี้ยอ่อน เป็นแมลงดูดที่สำ คัญชนิดหนึ่งในมะละกอ สันนิษฐานกันว่าเป็นตัวถ่ายทอดโรคใบด่างเหลืองที่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งโรคนี้พบว่ากำ ลังเป็นกับมะละกอในแหล่งผลิตทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางผลมะละกอถูกโรคและแมลงทำลายโรคใบด่างของมะละกออาการที่เกิดกับต้นกล้ามะละกอจะแสดงอาการใบด่างผิดปกติ ใบมีขนาดเล็กลงสีซีดต่อมาใบร่วงและทำ ให้ต้นตายสำหรับต้นที่โตแล้ว จะแสดงอาการโดยใบยอดเหลืองซีด ใบมีขนาดเล็กลง ก้านใบสั้น ใบด่างสีเหลืองสลับเขียว ส่วนต้นหรือก้านใบจะพบจุดหรือขีดสีเข้ม มะละกอจะให้ผลผลิตน้อยหรือไม่ได้ผลเลยสาเหตุเกิดจากเชื้อปาปายาริงสปอทไวรัส ถ้าพบว่าเป็นโรคต้องโค่นทิ้งและไม่นำมีดที่มีเชื้อไปตัดต้นดีเพราะจะทำ ให้เชื้อแพร่กระจายไปได้และฉีดพ่นยาป้องกันเพลี้ยอ่อนหรือเพลี้ยอื่นๆ บางชนิด เช่น เพลี้ยไก่ฟ้า ไม่ให้มาดูดกินนํ้าเลี้ยงจากต้นมะละกอที่ปกติ นอกจากนี้อาจใช้พันธุ์ต้านทานปลูกก็ได้
โรคราแป้ง
อาการปรากฏบนใบและบนผลที่มีสีเขียว เกิดคราบฝุ่นของเชื้อราเป็นขุยสีขาวๆคล้ายแป้งที่บนใบ ก้านใบ และผล ใบอ่อนที่ถูกทำ ลายจะร่วงหรือใบเสียรูป ยอดชะงักการเจริญเติบโต ผลอ่อนมากๆ ถ้าเป็นโรคผลจะร่วง แต่ถ้าเป็นกับผลโตผลจะไม่ร่วงยังเจริญเติบโตได้ แต่ผิวจะกร้าน และขรุขระไม่น่าดู ส่วนที่ก้านนั้นมีสีเทาจาง ๆ แผลจะมีขอบเขตไม่แน่
หนอน
สาเหตุของโรคและการแพร่ระบาดโรคนี้มีสาเหตุเกิดจากเชื้อรา Oidium sp. โดยเชื้อราจะสร้างสปอร์ปลิวไปตามลมแพร่ระบาดไปได้ไกล ๆ โรคนี้มักจะเกิดในปลายฤดูฝนหรือต้นฤดูหนาวอาการใบด่างของมะละกอที่ถูกเชื้อไวรัสเข้าทำ ลายอาการลำ ต้นของมะละกอที่ถูกเชื้อไวรัสเข้าทำ ลาย
การป้องกันกำจัด
ควรพ่นด้วยสารป้องกันกำ จัดโรครา เช่น เบโนมีล 10 กรัมต่อนํ้า 20 ลิตร หรือไดโนแคพ 20 กรัมต่อนํ้า 30 ลิตร
โรคโคนเน่า
อาการของโรคพบทั้งที่ราก และโคนลำ ต้น อาการเน่าที่โคนต้นจะเน่าบริเวณระดับดิน แผลจะลุกลามมากขึ้น และจะปรากฏอาการที่ใบทำ ให้ใบเหี่ยวและเหลือง ยืนต้นตายหรือล้มได้ง่ายที่สุดเพราะเมื่อโคนลำ ต้นเน่า ก็หมายถึงภายในเนื้อเยื่อจะเน่าเละหมด ไม่มีส่วนแข็งแรงที่จะทรงตัวอยู่ได้สาเหตุของโรคและการแพร่ระบาดโรคโคนเน่าเกิดจากเชื้อ Phytophthora plamivora พบเป็นมากในฤดูฝน เชื้อราเป็นพวกเชื้อราในดิน เมื่อมะละกอเจริญเติบโต เชื้อรานี้จะแพร่ระบาดได้รวดเร็ว เมื่อมีความชื้นสูงโดยสปอร์จะไหลไปกับนํ้าเข้าทำ ลายต้นอื่น
การป้องกันและกำจัด
ถ้าหากมีนํ้าท่วมขังชื้นแฉะจะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคนี้ได้ง่าย การจัดระบบปลูกให้มีการระบายนํ้าที่ดีจึงเป็นสิ่งจำ เป็น ฉะนั้น เมื่อปรากฏอาการของโรคควรถอน ขุดทำ ลาย ถ้าตรวจพบว่าโรคนี้เริ่มเข้าทำ ลายก็ควรรดด้วยสารเคมี เช่น เมธาแลคซีล 20 กรัมต่อนํ้า 20 ลิตร ฟอสเอ็ทธิลอลูมินั่ม 40 กรัมต่อนํ้า 20 ลิตร
การเก็บเกี่ยวผล
ให้ใช้มีดหรือกรรไกรตัดขั้วผลมะละกอให้ติดต้น แล้วตัดขั้วผลมะละกอที่ยาวออกภายหลัง ห้ามใช้มือบิดผลเพราะทำ ให้ขั้วชํ้า และเชื้อราสามารถจะเข้าทำลายทางขั้วที่ติดต้นทำ ให้ต้นเน่าเสียหายได้ เลือกเก็บเกี่ยวผลที่มีผิวสีส้มประมาณ 5 เปอร์เซนต์ของพื้นที่ผิวผล ผลที่เก็บควรใส่ภาชนะหรือเข่งที่กรุกระดาษหลาย ๆ ชั้นหรือกล่องกระดาษ ระวังไม่ให้ยางเปื้อนผิว ติดผล วางเข่งหรือกล่องไว้ในที่ร่มเคลื่อนย้ายไปที่คัดขนาดด้วยความระมัดระวังเก็บเกี่ยวผลมะละกอใส่เข่งที่กรุกระสอบ
การปลูกมะละกอให้ได้ผล มีคุณภาพของผลดีต้องมีการดูแลตั้งแต่ระยะเริ่มแรก เมื่อกล้ามะละกอยังเล็กจนกระทั่งถึงระยะเก็บเกี่ยวผล โดยยึดหลัก ดังนี้
- ต้นกล้าต้องสมบูรณ์แข็งแรง ไม่อยู่ในถุงนานเกินไป
- หลุมปลูกต้องมีการระบายนํ้าดี มีอาหารอุดมสมบูรณ์
- ให้นํ้าชลประทานอย่างสมํ่าเสมอไม่ให้ขาดนํ้าโดยเฉพาะช่วงติดผลและผลเจริญ
- มีการให้ปุ๋ยเพิ่ม และมีการป้องกันแมลงและโรคอย่างต่อเนื่อง
- มีการตรวจดู ทำ ลายวัชพืชและพืชอาศัยของโรคแมลง ในบริเวณข้างเคียงไม่ให้รบกวน
- ในระยะที่ต้นมะละกอยังเล็ก ควรตรวจดูต้นโดยเฉพาะใบแก่ด้านบน และด้านล่างใบว่ามีไร เพลี้ยไฟ หรือโรคจุดเข้าทำ ลายหรือไม่
- ตรวจดูว่ามีต้นแคระแกรน หรือต้นใบด่างยอดด่าง หรือไม่ ถ้าพบต้นแคระแกรนให้ถอนต้นตรวจดูราก ถ้าใบด่างให้เผาไฟทำ ลายทิ้ง
- เก็บใบและต้นใบแห้ง ออกเผาไฟ
- นอกจากฉีดพ่นยาป้องกันกำ จัดแมลงที่ต้นและใบแล้ว ให้ราดยาป้องกันกำ จัดแมลงที่โคนต้นป้องกันมด และฆ่าเพลี้ยหอยมายังส่วนผลทุก 2 สัปดาห์ต่อครั้ง
- เก็บเกี่ยวผลที่ผิวเริ่มมีสีเหลืองประมาณ 5% ของพื้นที่ผิวผล
บทความที่น่าสนใจ
